WHA อู้ฟู่รายได้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปี'65 แง้มเตรียมปิดดีลครึ่งปีหลัง
WHA เผยครึ่งแรก 2565 ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจฟันรายได้ 4,400 ล้านบาท โต 30% สินทรัพย์รวมกว่า 86,400 ล้านบาท คาดผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 มั่นใจรายได้-กำไร พุ่ง 20% หลังนักลงทุนทะลักจ่อปิดดีลทุกกลุ่มธุรกิจ ยอมรับเป็นปีทองของนิคมอุตสาหกรรม
วันที่ 29 กันยายน 2565 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่าุ
ปี 2565 เป็นปีที่ผลประกอบการของ WHA ดีเป็นประวัติศาสตร์ และเป็นปีทองของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะอยู่ที่ 20% และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เกิน 40% ขณะที่ครึ่งปีแรก 2565 ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจฟันรายได้ 4,400 ล้านบาท โต 30% สินทรัพย์รวมกว่า 86,400 ล้านบาท
โดยปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม. และจะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกะโลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 (WHA Mega Logistics Center Theparak KM.21) รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000 ตร.ม.
ซึ่งครึ่งแรกของปี 2565 ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. ด้วยมีความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL)
และล่าสุด WHA ยังได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพอีคอมเมิร์ซอีก 2 แห่ง คือ บริษัท เมอร์คูลาร์ จำกัด (Mercular) สตาร์ตอัพอีคอมเมิร์ซผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี และบริษัท มั่งมี อีคอมเมิร์ซ จำกัด (Mungmee) สตาร์ตอัพอีคอมเมิร์ซ B2B ที่มุ่งปฏิวัติการค้าแบบดั้งเดิมของไทยให้ทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยี
และข้อมูลแบบบูรณาการเพื่อปรับระบบการทำงานของผู้ใช้งานให้เป็นรูปแบบดิจิทัล โดยการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพเหล่านี้ เพื่อผสานความร่วมมือและกิจกรรมทางธุรกิจเข้ากับระบบนิเวศโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมี่ยม
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ล่าสุดคือนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่
ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้
ส่วนในเวียดนาม กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติโครงการ โดยโครงการ “WHA Smart Technology Industrial Zone-Thanh Hoa” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองหลักของจังหวัด พร้อมที่จะรองรับความต้องการของนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง และการขยายโครงการ “Northern Technology Corridor” ของเวียดนาม สำหรับครึ่งแรกของปี 2565 มียอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่
กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน โดยดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ขยายผลิตภัณฑ์และการบริการ โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ
สำหรับประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกมีปริมาณการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและการบำบัดน้ำเสีย สูงขึ้น 10% เป็น 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้นกว่า 19% เป็น 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร
ส่วนในเวียดนาม WHAUP มีโครงการน้ำที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ ผลการดำเนินงานมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 22% โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีฐานลูกค้าและพื้นที่ครอบคลุมการให้บริการน้ำประปามากขึ้น
นอกจากนี้ ยังคงขยายพอร์ตการลงทุนด้วยการพัฒนาโซลูชั่นพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในครึ่งแรกมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) จำนวน 62 เมกะวัตต์ และยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์
ส่วนโครงการโซลาร์รูฟท็อปของบริษัท ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีกำลังการผลิต 19.4 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยรวมแล้วสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามทั้งหมดของโครงการโซลาร์รูฟท็อป คาดว่าจะสูงถึง 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้
กลุ่มธุรกิจดิจิทัล ภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออปติกใต้ดิน (FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของ WHA ในประเทศไทย และยังมีการให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมสำหรับติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรับและกระจายสัญญาณเครือข่าย 3G, 4G, และ 5G โดยจะดำเนินการสร้างเสาโทรคมนาคมจำนวน 8 ต้นภายในปีนี้
ซึ่งลูกค้าที่จะเช่าเสาโทรคมนาคม ได้แก่ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทย เช่น AWN, True และ Dtac นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลได้มีการขายสินทรัพย์ประเภท ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) จำนวน 2 แห่ง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยสร้างกำไรได้ถึง 345 ล้านบาท ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงถือหุ้นร้อยละ 15 ใน Supernap ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Tier IV
“ปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่าง ๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650 ไร่
ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงโรดแมปการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต”