สรุป 9 ประเด็นแวดวงยานยนต์ “อนาคตประกันภัยรถยนต์ในไทย” เจาะเทรนด์และอินไซต์ผู้ขับขี่ยุคใหม่ในงาน InsureX FORECAST 2025
สำหรับผู้ใช้รถ “ประกันภัยรถยนต์” ถือเป็นของสำคัญที่รถทุกต้องมี ! แต่ในช่วงหลายปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดยานยนต์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลกระทบต่อประกันภัยรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
InsureX by Priceza Money ซึ่งเป็นเว็บตัวกลางเปรียบเทียบประกันรถยนต์ จึงจัดอิเวนต์ที่มีชื่อว่า “InsureX FORECAST 2025 : THE NEXT ERA OF CAR INSURANCE” เพื่อชวนทุกคนมาอัปเดตเทรนด์และมองเห็นแนวโน้มในอนาคตของประกันภัยรถยนต์ในไทยปี 2568 ไปด้วยกัน
โดยในงานเล่าถึงเรื่องราวดี ๆ เอาไว้มากมาย ซึ่งแอดก็ได้สรุป 9 ประเด็นน่ารู้เกี่ยวกับตลาดรถยนต์ รวมถึงประกันภัยรถยนต์ ทั้งข้อมูลปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต ผ่าน 2 Sessions ได้แก่
1. CAR & EV INDUSTRY IN THAILAND 2025 : แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศไทย บรรยายโดย คุณฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส จาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
2. CAR INSURANCE REPORT 2025 : ข้อมูลการเลือกและพฤติกรรมลูกค้าประกันรถยนต์ บรรยายโดย คุณสิรวิชญ์ ฉายะวาณิชย์ Head of Priceza Money
เทรนด์และอินไซต์เหล่านี้จะน่าสนใจแค่ไหน หรือจะเข้ามามีบทบาทต่อวงการประกันภัยรถยนต์ต่อจากนี้ยังไง มาติดตามพร้อมกันเลย
1. 2024 ปีที่ตลาดรถยนต์ไทยหดตัวต่ำสุดในรอบ 15 ปี แต่สวนทางกับ “SUV” ที่โตต่อเนื่อง
ย้อนไปในปี 2024 ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยหดตัวลงทั่วประเทศสูงถึง -26% โดยนับว่าเป็นยอดขายรถยนต์ต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยประเภทรถยนต์ที่ยอดขายหดตัวมากที่สุดคือ "รถกระบะ" หดตัวลงถึง -38%
ต่อมาคือ "รถเก๋งทั่วไป" หดตัวลง -23% สวนทางกับรถกลุ่ม "SUV" ที่ขยายตัวต่อเนื่องและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2023
จากข้อมูลพบว่า รถกลุ่ม "SUV" ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับ "รถกระบะ" ที่มีส่วนแบ่งการตลาดลดลง ดังนี้
- รถกลุ่ม SUV : ส่วนแบ่งการตลาดปี 2024 อยู่ที่ 31% / ปี 2023 อยู่ที่ 24% / ปี 2022 อยู่ที่ 16%
- รถกระบะรถกลุ่ม : ส่วนแบ่งการตลาดปี 2024 อยู่ที่ 18% / ปี 2023 อยู่ที่ 23% / ปี 2022 อยู่ที่ 29%
- Sedan/Hatchback : ส่วนแบ่งการตลาดปี 2024 อยู่ที่ 38% / ปี 2023 อยู่ที่ 37% / ปี 2022 อยู่ที่ 39%
2. รถราคาต่ำกว่า 7 แสน ยอดลดลงต่อเนื่อง พร้อมประเมินยอดขายปีนี้มีแนวโน้มหดตัว
สัดส่วนยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งราคาต่ำกว่า 7 แสนบาทก็ยังปรับลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยทาง SCB EIC คาดว่ามาจาก 2 สาเหตุ ได้แก่
- สถาบันการเงินเข้มงวดการให้สินเชื่อกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
- กระแสนิยมในกลุ่มรถ Eco car และ City car ลดลงอย่างต่อเนื่อง
และ SCB EIC ยังประเมินว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2025 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อนที่ -2%
- คาดการณ์ยอดขายรถกระยะ และ SUV ในปี 2025 = 333,000 คัน (-4.4%YOY)
- คาดการณ์ยอดขายรถยนต์นั่งในปี 2025 = 228,000 คัน (+1.8%YOY)
ปัจจัยหลักมาจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ เพราะสถาบันการเงินมีความกังวลต่อการเสื่อมมูลค่าของหลักทรัพย์คำ้ประกันหมวดยานยนต์ที่ยังปรับลดลงต่อเนื่อง และสถานบันการเงินยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงอีกด้วย
3. ยอดขายรถ Hybrid ปี 2024 สูงถึง 1.36 แสนคัน ซึ่ง “TOYOTA” ครองแชมป์
ด้านทิศทางของตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้า (xEV) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องและถือเป็นแรงส่งหลักของตลาดรถยนต์ไทย โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง "ไฮบริด" ในปี 2024 เติบโตถึง 42% (136,000 คัน)
โดยสัดส่วนยอดขายแต่ละค่ายรถยนต์ในปี 2024 ได้แก่ TOYOTA 43%, HONDA 39%, MITSUBISHI 4%, NISSAN 3% และ SUZUKI 0.3%
แต่ในกลุ่มรถยนต์ BEV ในปี 2024 หดตัวจากยอดขายที่ปรับลดลง -10.2% (68,000 คัน) ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันด้านราคาที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป
4. คาดรถ xEV ปี 2025 มีส่วนแบ่งการตลาด +40% ด้วยแรงส่งจาก Hybrid
SCB EIC คาดว่ากลุ่มรถยนต์นั่ง xEV ในปี 2025 จะมีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ 40% เพราะได้รับแรงส่งจาก Hybrid ที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่รถ BEV ก็จะกลับมาฟื้นตัวได้บ้างเช่นกัน
โดยประมาณการยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งปี 2025 ในกลุ่ม HEV + PHEV อยู่ที่ 1.55 แสนคัน ส่วนกลุ่ม BEV อยู่ที่ 6.95 หมื่นคัน
5. TOYOTA / HONDA / MG : 3 แบรนด์รถที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
จากการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของ Priceza Money พบว่า คนที่เข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์มากที่สุดในตอนนี้คือ ผู้ที่มีอายุ 35-44 ปี เพราะเป็นกลุ่มที่เป็นเจ้าของรถด้วยตัวเอง โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สูงถึง 53.5% จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ทาง Priceza Money ได้เล่าถึงแนวโน้มกลุ่มรถยนต์ที่เข้ามาเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์ในแพลตฟอร์มมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
1. TOYOTA สัดส่วน 29% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ +2%)
2. HONDA สัดส่วน 19% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ +4%)
3. ISUZU สัดส่วน 16% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -7%)
4. MAZDA สัดส่วน 7% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -13%)
5. MITSUBISHI สัดส่วน 6% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -10%)
6. NISSAN สัดส่วน 6% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -18%)
7. FORD สัดส่วน 4% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -7%)
8. MG สัดส่วน 3% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ +5%)
9. SUZUKI สัดส่วน 3% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -14%)
10. CHEVROLET สัดส่วน 2% (เปลี่ยนแปลงจากปี 2022 vs 2024 อยู่ที่ -10%)
จากข้อมูลจะเห็นว่ามี 3 แบรนด์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ TOYOTA, HONDA และ MG โดยคาดว่า TOYOTA และ HONDA ยังมีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะเจ้าตลาด และมีการออกรถยนต์ระบบ Hybrid ให้ผู้บริโภคเลือกมากขึ้น ส่วน MG ถือเป็นแบรนด์รองแบรนด์เดียวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะรถยนต์ BEV เป็นหลัก
ซึ่งยี่ห้อรถยนต์ที่มีอัตราเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์เพิ่มขึ้นมากที่สุดใน Priceza Money ได้แก่ BYD ปรับตัวเพิ่มขึ้น 821%YOY, NETA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1333%YOY ORA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 209%YOY
6. เผยอินไซต์คนไทย เปรียบเทียบประกันภัยมากสุดตอนที่รถอายุครบ 1 ปี
สำหรับเรื่อง "พฤติกรรมการซื้อประกันของผู้บริโภค" ก็น่าจับตามอง ซึ่งในข้อมูลระบุว่า คนไทยจะเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์มากที่สุดในตอนที่อายุรถครบ 1 ปี และจะเข้ามาเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์น้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อรถอายุมากขึ้น
แต่จะมีอีก 2 ช่วงที่คนส่วนใหญ่จะกลับมาเปรียบเทียบประกันรถยนต์คือ เมื่อรถอายุครบ 5 ปี และรถอายุครบ 10-12 ปี
7. เมื่อรถอายุครบ 5 ปี เจ้าของมักเลือกประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่สูงถึง 87%
เมื่อรถยนต์อายุครบ 5 ปี จะมีอัตราเลือกประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ถึง 87% จากทั้งหมด ด้วยเหตุผลหลัก ๆ 3 ข้อ ได้แก่
- ประกันรถยนต์แบบซ่อมศูนย์มีราคาสูงกว่าประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่มาก (เฉลี่ย 10,000 บาท)
- บริษัทประกันส่วนใหญ่รับประกันแบบซ่อมศูนย์ถึงแค่ 4 ปี
- บริษัทประกันที่รับประกันแบบซ่อมศูนย์เกิน 4 ปี ไม่ได้มีชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมากพอ
แต่ "รู้ใจประกันภัย" ที่ยังรับประกันซ่อมศูนย์ในรถอายุเกิน 5 ปีก็ได้สัดส่วนลูกค้าเพิ่มไปถึง 35% จากทั้งหมด จึงนับว่าเป็นโอกาสดีที่บริษัทประกันภัยอื่น ๆ จะเข้าไปเล่นในตลาดที่คู่แข่งน้อยแบบนี้
8. คนไทยยังคงสนใจประกันรถยนต์ชั้น 1 แม้รถจะอายุเกิน 15 ปีแล้วก็ตาม
เมื่อรถอายุครบ 10 ปี ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาต่อประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่ได้ แต่ใน Priceza Money เองยังมีประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้ถึงรถอายุ 15 ปีทำให้อัตราส่วนการเลือกประกันชั้นอื่น ๆ ในปีที่ 10 มีแค่ 25% และเมื่อรถครบอายุ 15 ปีก็ยังมีอัตราการเลือกประกันชั้นอื่น ๆ อยู่แค่ 57%
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยสนใจประกันรถยนต์ชั้น 1 อยู่มากถึงแม้รถยนต์จะอายุมากกว่า 15 ปีแล้วก็ตาม โดย Priceza Money วิเคราะห์ไว้ 2 เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยังสนใจประกันชั้น 1 อยู่ คือ
เมื่ออายุรถเยอะขึ้น ราคาประกันชั้น 1 และ ประกันชั้น 2+ จะมีส่วนต่างไม่มากแล้ว (ประมาณ 5,000 บาท)
ยังไม่ค่อยมีการให้ความรู้เรื่องประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+ มากเท่าที่ควร ทำให้คนส่วนใหญ่ยึดติดกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองทุกกรณีไว้ก่อน
9. ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินซื้อจาก “ชื่อเสียงบริษัท” มาก่อน “ราคา”
ปิดท้ายด้วยประเด็น "เกณฑ์การเลือกบริษัทประกันภัย" ซึ่งปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะเลือกจากชื่อเสียงบริษัทประกัน มาก่อนราคาประกันนั่นเอง
โดย 2 บริษัทประกันที่หลายคนไว้วางใจ จนถูกเลือกมากที่สุดในปี 2024 คือ "ธนชาตประกันภัย" และ "วิริยะประกันภัย" แต่เมื่อเปรียบเทียบราคากัน "ธนชาตประกันภัย" มีราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่า "วิริยะประกันภัย" ในรถหลาย ๆ รุ่น ทำให้ถูกเลือกมากที่สุดเป็นที่ 1
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับ Marketing Trends 2025 สำหรับกลุ่ม Gen Y อายุ (29-45 ปี) ที่บอกว่าคนกลุ่มนี้ต้องการ "คุณภาพ" และ "คุณค่า" สูงเมื่อเปรียบเทียบกับ Gen อื่น ๆ โดยเหตุผลในการซื้อ Luxury Products สำหรับผู้บริโภค Gen Y คือ
- 79% ซื้อเพราะวัสดุคุณภาพดี
- 78% ซื้อเพราะความทนทาน
- 69% ซื้อเพราะ Value for money
ทำให้บริษัทประกันภัยยุคนี้ต้องปรับตัว เพราะจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยชื่อเสียงที่ดี และคุณภาพที่น่าเชื่อถือนั่นเอง