สธ.ใช้ SAP ยกระดับ รพ.ในสังกัดทุกแห่ง ต้องมีมาตรฐานเน้นบริการคนในพื้นที่
สธ.ใช้ SAP ยกระดับ รพ.ในสังกัดทุกแห่ง ต้องมีมาตรฐานเน้นบริการคนในพื้นที่
วันนี้ (21 เมษายน 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับระดับใหม่ของโรงพยาบาลในสังกัด สธ. ว่า หากแบ่งระดับของโรงพยาบาลตามกฎหมายในการสื่อสารภายนอก จะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แต่การแบ่งระดับเพื่อสื่อสารกันภายใน สธ. เดิมจะแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ F: Fundamental, M: Middle, S: Standard และ A: Advance ซึ่งปรับระดับตามจำนวนเตียงและศักยภาพในการดูแลผู้ป่วย แต่เมื่อไปดูขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไม่ได้ขาดมาก
“อย่างเช่นโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ มีแพทย์อย่างต่ำ 4-5 คนขึ้นไป บางแห่งก็มีเป็น 10-20 คน แต่ที่ยังไม่ได้พัฒนา เนื่องจากเตียงและประชากรในพื้นที่มีเท่านี้ จึงไม่ได้พัฒนาปรับระดับ สธ.จึงมีแนวคิดใหม่ว่า เราจะเป็นโรงพยาบาลของประชาชน ก็ต้องยึดความต้องการของประชาชนเป็นหลัก อย่าไปยึดศักยภาพของเราเป็นหลัก และจริงๆ ตอนนี้ศักยภาพของเรามีมากกว่าสิ่งที่เราควรจะทำ เช่น ฟอกไต จริงๆ ก็สามารถทำได้ทุกที่ และเราก็มีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้น จากเดิมเรามีระดับ อย่าง F แบ่งเป็น F3, F2, F1 โดย F3 หากพัฒนาก็ต้องขยับไปเป็น F2 สักขั้นหนึ่ง ก็เลยเกิดแนวคิดใหม่ว่า เรามาปรับระดับโรงพยาบาลเราใหม่ เราไม่เอา F, M, S, A แล้ว เพราะเข้าใจยาก ก็เลยเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเหลือเพียง 3 ระดับเรียกว่า SAP หรือ แซบ ซึ่งทางอีสานแปลว่า อร่อย บางคนเอามาใช้สื่อว่า เผ็ด หรือคนยุคใหม่ก็สื่อในทำนองว่าดี ซึ่งก็จะจำง่าย” นพ.โอภาส กล่าว
ทั้งนี้ นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับระดับโรงพยาบาลแบบใหม่ SAP ประกอบด้วย
S: Standard โรงพยาบาลแบบมาตรฐาน โดยทุกโรงพยาบาลต้องมีมาตรฐานก่อน ซึ่งจะมีมาตรฐานกลางก่อนคืออะไร โรงพยาบาลชุมชนก็ต้องมีมาตรฐานแบบโรงพยาบาลชุมชน ส่วน โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ก็ต้องมีมาตรฐานแบบโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป อีกแบบหนึ่ง
A: Academy คือการสอนคนอื่นได้ เนื่องจากโรงพยาบาลของ สธ.หลายแห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปมีนักศึกษาแพทย์ มีแพทย์มาฝึกเป็นแพทย์เฉพาะทาง มีพยาบาลมาฝึก ถือเป็นอีกภารกิจของ สธ. เนื่องจากเวลา สธ. ฝึกบุคลากรก็เหมาะกับการมาใช้งานของเรา เดิมมหาวิทยาลัยผลิตก็ไม่ได้ตรงกับความต้องการ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็เอาโรงพยาบาลของ สธ.เป็นแหล่งผลิตนักศึกษาแพทย์และพยาบาลของเขาด้วยซ้ำ ทำไมเราไม่พัฒนาของเรา เวลาเราสอนคนมันก็เพิ่มศักยภาพ ดังนั้น เมื่อมี Standard แล้ว หากมีสอนคนอื่นด้วยก็แสดงว่าศักยภาพคุณต้องเพิ่มขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นระดับ Academy
P: Premium/Professionnal ซึ่งจะขอสรุปคำอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นระดับสุดยอด ต้องเทียบเท่ากับ รพ.มหาวิทยาลัย ซึ่งหลายที่มีศักยภาพแบบนั้น เช่น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลศูนย์ระดับใหญ่ที่รับนักศึกษาแพทย์ได้มาก เป็นต้น ซึ่งแม้แต่ โรงพยาบาลชุมชน ก็สามารถพัฒนาเป็นระดับ Premium ได้หากทุกอย่างดเข้าเกณฑ์
“เรายกระดับใหม่เป็น 3 ระดับ เพื่อดูกำลังคน งบประมาณ ศักยภาพที่จะทำ โดยให้ทุกโรงพยาบาลยกระดับการให้บริการประชาชน อย่าไปยึดกรอบกับจำนวนประชากรในพื้นที่ สำหรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ คนเรามีอยู่แล้ว หมอ พยาบาล ฯลฯ เครื่องไม้เครื่องมือ หากยกระดับขึ้นไปก็หางบประมาณ ซึ่งตอนนี้เงินบำรุงก็มีอยู่ ซึ่งแผนเงินบำรุงก็คือดูเรื่องสวัสดิการเจ้าหน้าที่ ดูความต้องการประชาชน อย่างที่จอดรถ ศาลาพักญาติ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาล เช่น เปิดห้องผ่าตัด เปิดห้องฟอกไต เปิดศูนย์ฉายรังสี งบประมาณส่วนหนึ่งก็ใช้เงินบำรุง อีกส่วนของบประมาณพวกสร้างตึกต่างๆ” นพ.โอภาส กล่าว
ปลัด สธ. กล่าวอีกว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงของการพูดคุยนโยบายให้ตกผลึกกันก่อน พูดคุยกัน 2-3 รอบแล้ว โดย 3 ชมรมก็มาคุยแล้ว ก็จะเชิญ 5 ชมรมมาคุย ทั้งชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรม ผอ.รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป ชมรม ผอ.รพ.ชุมชน ชมรมสาธารณสุขอำเภอ และชมรมผู้อำนวยการ รพ.สต. จากนั้นจะให้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งในส่วนของ รพ.สต.ก็จะรวมอยู่ในนี้ด้วย ถึงได้มาคุยกัน ทุกอย่างต้องมีพัฒนาการ รูปแบบจะเป็นอย่างไรก็ต้องคุยกันไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายละเอียดบริการ การฝึกอบรม หรืองานวิจัยของโรงพยาบาลแต่ละระดับ เบื้องต้น มีการจัดทำแผนพิมพ์เขียว (Blueprint) เบื้องต้น แต่ยังต้องรอการหารือให้ร่วมกันกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป