เปิดตัว AI Whitepaper คู่มือช่วยธุรกิจไทยใช้ AI อย่างยั่งยืน
คอลัมน์ Technology : วารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 (ฉบับที่ 519)
ETDA, TDRI และ SAP ร่วมจัดทำ AI Whitepaper ชี้ AI คือกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลสู่ Thailand 4.0 แนะภาครัฐเดินหน้าด้านภาษีและเงินทุน หนุนธุรกิจไทยนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ SAP ได้จัดทำรายงาน AI Whitepaper เพื่อทำให้ภาคธุรกิจมองเห็นถึงศักยภาพของ AI ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต และวางรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายของยุทธศาสตร์ ประเทศไทย 4.0 อย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางและให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นนำ AI มาใช้ เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด
EDTA เผยผลสำรวจองค์กรไทยมีแค่ 17.8% ที่นำ AI มาใช้
[caption id="attachment_185631" align="aligncenter" width="500"]
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)[/caption]
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เปิดเผยถึงที่มาในการจัดทำ AI Whitepaper ฉบับนี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้กำหนด "ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (พ.ศ. 2565-2570)" ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตภายในปี 2570 ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์หลักได้แก่
1. AI Ethics, Law and Regulations : พัฒนากฎหมาย มาตรฐาน และนโยบายสำหรับ AI รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และการให้ความรู้เกี่ยวกับจริยธรรม AI
2. AI Infrastructure : สร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ AI, แพลตฟอร์มระดับชาติสำหรับการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลขั้นสูง, แพลตฟอร์มบริการ AI ระดับชาติ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน High Performance Computing (HPC)
3. AI Manpower : ปรับปรุงการศึกษา AI และการสร้างองค์ความรู้ในทุกระดับ รวมถึงโครงการทุนการศึกษา AI
4. AI Research, Development and Innovation : ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และนวัตกรรมสำหรับภาคส่วนเป้าหมาย และการพัฒนาเทคโนโลยีหลักและแพลตฟอร์ม AI
5. AI Application : ส่งเสริมการใช้ AI ในภาครัฐ และส่งเสริมการใช้ AI ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง คณะกรรมการ AI แห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวบรวมหน่วยงานหลักกว่า 40 แห่ง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยได้จัดทำแนวทางจริยธรรม AI 4 ฉบับ และมีแผนที่จะนำ UNESCO Readiness Assessment Methodology (RAM) มาใช้ เพื่อประเมินความพร้อมของประเทศในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีจริยธรรม
ด้าน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต โดย DEPA มีโครงการต่างๆ เช่น "dTech Consulting Centers/Partners", "Digital Transformation project" และ "Digital Platform Development project" รวมถึงมาตรการจูงใจทางการเงินสำหรับสตาร์ตอัพ AI และ SMEs เช่น Digital Startup Fund และ Digital Transformation Fund รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษี 200% สำหรับการลงทุนใน AI (Tax200)
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่ Industry 4.0 โดยเสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี สำหรับกิจกรรม AI R&D, ซอฟต์แวร์ AI ขั้นสูง, โลจิสติกส์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI, และศูนย์กระจายสินค้า นอกจากนี้ ยังยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปีสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่นำ AI มาใช้ในระบบอัตโนมัติ และมาตรการสำหรับ Industry 4.0 ที่ให้การยกเว้นภาษี 50-100% สำหรับการนำ AI และหุ่นยนต์มาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการผลิตอัจฉริยะ
“วิสัยทัศน์ของรัฐบาลเล็งเห็นถึงการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจไม่ใช่เพียงแค่การอัปเกรดเทคโนโลยี แต่เป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ”
ดร.ชัยชนะกล่าวต่อว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ETDA ได้ริเริ่มโครงการสำคัญหลายโครงการ เช่น แนวทางการกำกับดูแล AI สำหรับผู้บริหาร และแนวทางการกำกับดูแล Generative AI สำหรับองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุมและแข็งแกร่ง ซึ่งจะสนับสนุนการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ด้วยความรับผิดชอบ มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยจากการสำรวจของ ETDA ในปี 2567 ซึ่งสำรวจองค์กร 580 แห่ง จากภาครัฐและเอกชน พบว่า มีเพียง 17.8% ที่นำ AI มาใช้แล้ว ในขณะที่ 73.3% อยู่ระหว่างการพิจารณา และ 8.9% ยังไม่เห็นความจำเป็น
อีกทั้ง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้กำหนดเป้าหมายสำหรับภาคอุตสาหกรรมของไทยไว้คือ อัตราการเติบโตของ GDP ภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 4.5% ต่อปี และอัตราการเติบโตของผลิตภาพรวมปัจจัยการผลิต (TFP) เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2% ต่อปี เทคโนโลยี AI สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้โดยการเพิ่มผลิตภาพ ส่งเสริมนวัตกรรม และเปิดใช้งานการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ
นอกจากนี้ AI ยังสามารถมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน ของประเทศไทยภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดการใช้พลังงาน และเปิดใช้งานแนวปฏิบัติการผลิตที่ยั่งยืน ด้วยการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย ภาคการผลิตสามารถวางตำแหน่งตนเองเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยสำหรับเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและสามารถแข่งขันได้ในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก
ดังนั้น การจัดทำ AI Whitepaper ฉบับนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งแผนงานที่เป็นรูปธรรม สำหรับผู้ประกอบการไทยในการบูรณาการ AI ซึ่งระบุข้อควรพิจารณาที่สำคัญ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และกลยุทธ์การนำไปใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่า การนำ AI มาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของภาคธุรกิจไทย
AI ปรับโฉมอุตสาหกรรมไทย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดระยะเวลา
[caption id="attachment_185632" align="aligncenter" width="500"]
ดร.สลิลธร ทองมีสุข นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)[/caption]
ดร.สลิลธร ทองมีสุข นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า องค์กรธุรกิจทั่วโลกกำลังใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี
ดังนั้น ใน Whitepaper ฉบับนี้จึงได้มีการรวบรวม กรณีศึกษาการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า AI กำลังปรับโฉมอุตสาหกรรมอย่างไร โดยสรุปได้ดังนี้
1. การจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน (Logistics & Supply Chain Management) : ส่วนงานนี้ครอบคลุมการประสานงานและดูแลกิจกรรมต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการจัดการสินค้าคงคลังและการขนส่ง จึงต้องอาศัยการคาดการณ์ความต้องการที่แม่นยำ โดย AI มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลการขาย แนวโน้มตลาด และปัจจัยตามฤดูกาล ส่งผลให้สามารถลดข้อผิดพลาดในการคาดการณ์ได้ถึง 30-40% และลดสต๊อกความปลอดภัยในสินค้าคงคลังได้ถึง 20%
“การใช้ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ ด้วยการช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก เช่น การเสนอเส้นทางแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมได้ถึง 15%”
2. การปรับปรุงกระบวนการ (Process Improvements) : การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่ว่าจะเป็น ระบบอัตโนมัติ, หุ่นยนต์แขนกลที่ได้รับการปรับปรุงด้วย AI, หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์ (Cobots) และหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRs) ที่ล้วนออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ ช่วยเหลืองานต่างๆ โดยใช้ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความแม่นยำ และความสามารถในการปรับตัว
“จากการศึกษาการนำ AI มาใช้ในสายการผลิต ส่งผลให้ประสิทธิภาพรวมการผลิตรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 30% ลดจำนวนพนักงานในบางสายงานได้ 50% โดยสามารถทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในการบริหารจัดการเพื่อช่วยลดข้อผิดพลาด ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการผลิต ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งแบบย้อนหลังและเรียลไทม์ รวมถึงการใช้ Generative AI เพื่อเป็นผู้ช่วยในการสรุปรายงานการทำงาน ซึ่งสามารถลดเวลาลงได้ถึง 75%
แนะภาครัฐช่วยธุรกิจไทย ลดช่องว่างความรู้ด้าน AI
ดร.สลิลธรชี้ว่า แม้ AI จะนำเสนอประโยชน์มหาศาลแก่ภาคธุรกิจ แต่การปรับใช้จริงถือว่ายังช้า เป็นผลมาจากความท้าทายทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ความท้าทายภายในองค์กร : การขาดความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับแอปพลิเคชั่นและความสำคัญของกลยุทธ์ด้าน AI เพราะเมื่อไม่เข้าใจกลยุทธ์ก็ทำให้ไม่สามารถเห็นภาพการลงทุนด้าน AI ที่ชัดเจน และไม่รู้ว่าต้นทุนที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ นอกจากนี้ ยังคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้ยาก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ยังขาดความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ดี
นอกจากนี้ การนำข้อมูลมาใช้ก็นับเป็นอุปสรรคขององค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้ยากต่อการบริจัดการ ส่วนองค์กรขนาดเล็กก็อาจขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในการนำ AI เข้ามาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงความกังวลของพนักงานที่กลัวว่าตนเองจะถูกแทนที่ด้วย AI
ความท้าทายภายนอกองค์กร : การพัฒนา AI นั้นมีความซับซ้อนและใช้ต้นทุนสูง โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลเพื่อพัฒนา AI ให้มีความฉลาด ขณะที่ AI ที่มีอยู่ในท้องตลาดก็อาจไม่ตอบโจทย์ทุกรูปแบบธุรกิจ
นอกจากนี้ กฎระเบียบและนโยบาย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การขาดกฎระเบียบและกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุม ในการคุ้มครองข้อมูลที่ AI ใช้ในการประมวลผล รวมถึงการขาดมาตรการจูงใจจากภาครัฐสำหรับการนำ AI มาใช้ ถือเป็นอุปสรรคต่อการปรับใช้ AI ในวงกว้าง
ดร.สลิลธรกล่าวต่อว่า เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและเร่งการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย Whitepaper ฉบับนี้ได้เสนอ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ครอบคลุมต่อภาครัฐ โดยเสนอให้ภาครัฐจัดทำโครงการลดช่องว่างความรู้ด้าน AI ให้แก่บุคลากรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และเสนอให้จัดตั้งแพลตฟอร์มกลางเพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเน้นไปที่การสร้างโซลูชั่น AI ที่ตอบโจทย์งานเฉพาะทางของแต่ละอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ เสนอให้เพิ่มขีดความสามารถของแรงงานผ่านโครงการยกระดับทักษะและปรับเปลี่ยนทักษะ ทั้งการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานโดยนายจ้างและลูกจ้าง ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนจากภาครัฐให้แก่ผู้เข้าฝึกอบรม
อีกทั้งเสนอให้จัดตั้งศูนย์ทดสอบ AI หรือ Regulatory Sandboxes เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ทดลองใช้ AI ในด้านต่างๆ ก่อนที่จะมีการนำไปใช้จริง จะช่วยให้สังคมเกิดความมั่นใจในการนำ AI ไปใช้ทำให้เกิดการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีต่างๆ กับ AI ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ รวมถึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาจัดตั้งศูนย์กำกับดูแลและนโยบาย AI ระดับชาติ เพื่อสร้างกรอบการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบของการนำ AI ไปใช้
สุดท้ายคือ เสนอให้สร้างกลไกที่เป็นแรงจูงใจในการนำ AI มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การคิดค่าเสื่อมราคาแบบเร่งรัดสำหรับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกับ AI ซึ่งจะได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีมากกว่าการคิดค่าเสื่อมราคาแบบปกติ หรือเสนอให้มีการลดหย่อนภาษีที่สูงขึ้นสำหรับ SMEs เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้อย่างเท่าเทียมกัน เป็นต้น
5 ขั้นตอนช่วยองค์กรธุรกิจ นำ AI มาใช้เต็มศักยภาพ
ดร.สลิลธร กล่าวต่อว่า การบูรณาการ AI เข้าสู่ภาคธุรกิจของไทยโดยเฉพาะภาคการผลิตเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 แม้ AI จะมีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่การนำ AI มาใช้ก็ยังคงมีความท้าทาย ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปิดรับ AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการนำไปใช้อย่างมีกลยุทธ์, ความพร้อมขององค์กร และการจัดแนวให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ โดยสำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นนำ AI มาใช้ ควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้
1. ประเมินความพร้อมขององค์กร : ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกของ AI องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องสำรวจตัวเองเป็นอันดับแรก สิ่งสำคัญคือ ต้องทำความเข้าใจศักยภาพของ AI ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนว่า AI จะสามารถช่วยแก้ปัญหาหรือเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนใดได้บ้าง
สิ่งสำคัญต่อมาคือ ความพร้อมด้านข้อมูล องค์กรธุรกิจต้องประเมินคุณภาพและปริมาณข้อมูลที่องค์กรมีอยู่ เช่น อุปกรณ์ต่างๆ ระบบการจัดการข้อมูล หรือระบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่จะนำมาใช้กับ AI มีความพร้อมเพียงพอ รวมถึงพิจารณาในเรื่องของงบประมาณและการลงทุน การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรพิจารณาถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวควบคู่ไปกับผลตอบแทนระยะสั้นด้วย
สุดท้ายคือ ทักษะบุคลากร องค์กรควรประเมินทักษะของพนักงานภายใน และวางแผนการยกระดับทักษะ (Upskill) และปรับเปลี่ยนทักษะ (Reskill) เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เริ่มต้นจากโครงการนำร่องขนาดเล็ก : การลงทุนในระบบ AI ขนาดใหญ่ทันทีอาจมีความเสี่ยงสูง โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วยโครงการนำร่องขนาดเล็กที่สามารถแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการใช้ AI ได้อย่างชัดเจน เช่น การใช้ AI เพื่อปรับปรุงคุณภาพการผลิต หรือการคาดการณ์ความต้องการสินค้าในส่วนงานเล็กๆ ก่อน แล้วจึงเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของโครงการนำร่องเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและขยายผลในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
3. แสวงหาความร่วมมือ และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ : ภาครัฐควรจัดตั้งแพลตฟอร์มกลางเพื่อช่วยให้องค์กรเข้าถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลยุทธ์ AI ที่เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละประเภท ช่วยให้องค์กรได้รับคำแนะนำที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการ นอกจากนี้ หากผู้บริหารทราบว่าองค์กรยังขาดความพร้อมในการนำ AI มาใช้หลายด้าน การทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยในการวางแผนและนำระบบ AI ไปใช้งานได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
4. ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง และสร้างความเข้าใจในองค์กร : การนำ AI มาใช้ในองค์กรไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงและสร้างความเข้าใจให้กับพนักงาน องค์กรควรสื่อสารให้พนักงานเข้าใจถึงประโยชน์ของ AI และบทบาทของ AI ในการช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่การนำ AI เข้ามาแทนที่บุคลากร ควรจัดและฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ติดตามนโยบาย และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ : ภาครัฐมีมาตรการจูงใจด้านภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุนใน AI จากหน่วยงานต่างๆ เช่น DEPA และ BOI การศึกษาข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์ในการลงทุน AI ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การติดตามแนวทางและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าการนำ AI มาใช้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและจริยธรรม
ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน การเตรียมความพร้อมขององค์กร และการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้องค์กรธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ สร้างการเติบโตในระยะยาว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน และสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษารายละเอียดของ AI Whitepaper ฉบับเต็ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ https://tdri.or.th
ติดตามอ่านคอลัมน์อื่น ๆ ได้ในวารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ฉบับที่ 519 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี่ที่เดียว : https://moneyandbanking.co.th/2023/18250/