โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธรรมะ

ม.กรุงเทพ พลิกโมเดลการเรียนรู้ ยุคที่ปริญญาต้อง “ใช้งานได้จริง” สร้างบัณฑิตสายพันธุ์ใหม่ AI–ดิจิทัล–ธุรกิจโลก

เดลินิวส์

อัพเดต 01 ธ.ค. เวลา 17.11 น. • เผยแพร่ 01 ธ.ค. เวลา 10.11 น. • เดลินิวส์
ในวันที่เทคโนโลยีและสังคมหมุนเร็วจนแทบตามไม่ทัน ม.กรุงเทพไม่หยุดแค่การ “สอน” แต่กำลัง “ออกแบบคน” ให้ตรงกับความต้องการอุตสาหกรรมอนาคต ผ่านหลักสูตร วิศวกร AI หัวใจผู้ประกอบการ, นักการตลาดดิจิทัลสายลุย, และ นักธุรกิจนานาชาติที่เชื่อมโลกตะวันออก–ตะวันตก บ่มเพาะนักศึกษา พร้อมทักษะจริง ประสบการณ์จริง และความคิดสร้างสรรค์ที่ต่อยอดได้ทันทีเมื่อเรียนจบ

ในยุคที่เทคโนโลยีและสังคมหมุนเร็วจนแทบตามไม่ทัน คำถามสำคัญของนักเรียนและผู้ปกครองยังคงเหมือนเดิม ควรเลือกเรียนอะไรถึงจะไม่ตกยุค? ปริญญาแบบไหนที่จะยังมีคุณค่าในวันที่โลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่ม.กรุงเทพไม่ได้มองแค่การ "สอน" ความรู้ที่มีอยู่ แต่กำลัง "ออกแบบ" หลักสูตรเพื่อสร้าง "คน" ที่อุตสาหกรรมในอนาคตกำลังมองหาอย่างจริงจัง เป็นการสร้างบุคลากรที่ไม่ได้มีแค่ความรู้ในตำรา แต่มีทักษะ ทัศนคติ และประสบการณ์ที่ทำได้จริงพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวัน

วิศวกร AI ที่เป็น CEO ได้

อ.ภัทรารัตน์ ตั้งนิสัยตรง ผู้อำนวยการหลักสูตรวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์และการเป็นผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่าปัญหาใหญ่ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญ ไม่ใช่เพียงความต้องการวิศวกร AI แต่เป็นวิกฤตการขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ระบุว่า ประเทศไทยขาดแคลนวิศวกร AI ถึงปีละ 80,000 ตำแหน่ง แต่ทักษะด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียวกลับไม่เพียงพออีกต่อไป วิศวกรแบบดั้งเดิมมักเก่งเรื่องเทคโนโลยี แต่ขาดทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และการวางแผนธุรกิจ ทำให้ไอเดียดีๆ หลายอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ได้

“ม.กรุงเทพได้ร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สร้างหลักสูตรที่ผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรม AI เข้ากับทักษะการเป็นผู้ประกอบการ โดยใช้ปรัชญา "ล้มให้เร็ว เรียนรู้ให้เร็ว" (fail fast, learn fast) ทำให้นักศึกษาได้เริ่มสร้างไอเดียธุรกิจและออกไปพูดคุยกับลูกค้าตัวจริงตั้งแต่ปี 1 พวกเขาไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎี แต่เรียนรู้จากโลกการทำงานจริงๆ ผ่านการลงมือทำและแก้ไขปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 4 ปี” อ.ภัทรารัตน์ กล่าว

เชี่ยวชาญ AI เข้าใจความเป็น 'คน'

เป้าหมายของหลักสูตรดังกล่าว ไม่ได้เพียงผลิตวิศวกร แต่เป็นการสร้างบุคลากรสายพันธุ์ใหม่ บัณฑิต จะเป็นนวัตกร AI ที่มีหัวใจและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งคำว่ามีหัวใจ หมายถึงความลึกซึ้งกว่าแค่ความรู้สึก เพราะผู้ประกอบการที่ดีต้องเข้าใจคน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดและสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้จริง

“หลักสูตรนี้จะช่วยแก้ปัญหาสำคัญของวงการวิศวกร เพราะบัณฑิตวิศวกรรมที่เก่งเชิงเทคนิค ส่วนใหญ่จะขาดทักษะด้านการสื่อสาร พรีเซนเตอร์ไอเดีย หรือนวัตกรรมที่คิดค้นไม่ได้ รวมถึงความเป็นผู้ประกอบการ ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการหลอมรวมความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจาก สจล. โดย 2 ปีแรกเด็กจะเรียนที่สจล. เข้ากับความแข็งแกร่งด้านความคิดสร้างสรรค์และจิตวิญญาณผู้ประกอบการของ ม.กรุงเทพ จากการเรียนที่ม.กรุงเทพ ไป 2 ปีสุดท้าย แต่เด็กจะได้เรียนจากอาจารย์ทั้ง 2 สถาบัน บ่มเพาะความเป็นวิศวกร AI และความเป็นผู้ประกอบการ” อ.ภัทรารัตน์ กล่าว

ในยุคที่ AI ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การสร้าง "นวัตกรที่มีหัวใจ" จึงไม่ใช่แค่จุดขายของหลักสูตร แต่เป็นเกราะป้องกันสำคัญต่อความเสี่ยงทางจริยธรรมของเทคโนโลยี เป็นหลักประกันว่านวัตกรรมแห่งอนาคตจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับใช้และยกระดับมวลมนุษยชาติ

เรียนรู้ผ่าน Incubation Program

อ.ภัทรารัตน์ กล่าวอีกว่าหลักสูตรนี้ผนวกผ่าน Incubation Program (โครงการบ่มเพาะธุรกิจ) เข้าไปตั้งแต่อยู่ปีที่ 1 ซึ่งมีโครงสร้าง 3 ส่วน คือ 1.Talks เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AI 2.Workshops การฝึกฝนทักษะจำเป็น เช่น การวางแผนการเงินและการพัฒนาไอเดีย และ 3.Events เวทีที่นักศึกษาจะได้นำเสนอแผนธุรกิจของตนเองต่อนักลงทุนตัวจริง

วิศวกร AI ทั่วไปอาจถามว่า “ฉันจะใช้เทคโนโลยีอะไรสร้างสิ่งนี้ได้บ้าง?” แต่วิศวกรที่จบจากม.กรุงเทพจะถามว่า นวัตกรรมชิ้นนี้จะช่วยให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นได้อย่างไร?” นี่คือการเปลี่ยนนิยามของวิศวกรจากผู้สร้างเทคโนโลยีไปสู่นักแก้ปัญหาเพื่อมนุษย์อย่างแท้จริง อยากชวนคนรุ่นใหม่เรียนรู้ความเป็นนวัตกร AI ที่หลักสูตรนี้

นักการตลาดดิจิทัลที่ทำงานจริง

ขณะที่“หลักสูตรการตลาดดิจิทัล” อีกหนึ่งหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการลงมือทำจริง มากกว่าทฤษฎีในห้องเรียนดร.กิตติภูมิ ศุภมนตรี ผู้อำนวยการหลักสูตรการตลาดดิจิทัล กล่าวว่าหากไปถามนักศึกษาที่เรียนม.กรุงเทพว่าเรียนเป็นอย่างไร พวกเขาอาจไม่ได้ตอบว่า "เรียนหนัก" แต่จะตอบว่า "งานเยอะ" เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้ในหลักสูตรการตลาดดิจิทัล ไม่ใช่การท่องจำเพื่อสอบ แต่เป็นการทำงานจริง

“หลักสูตรการตลาดดิจิทัล ม.กรุงเทพ เป็นสนามจำลองที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง เช่น เมื่อนักศึกษาเสนอไอเดียแคมเปญสุดสร้างสรรค์ อาจเจอคำถามเรียบง่ายแต่ทรงพลังจากลูกค้าตัวจริงว่า "ไอเดียที่จะใช้ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอาจดีมาก แต่รู้ไหมว่าค่าตัวเขาเท่าไหร่?" คำถามแบบนี้จะหล่อหลอมให้นักศึกษาคิดอย่างรอบด้านและปฏิบัติได้จริงภายใต้ข้อจำกัดทางธุรกิจ ดร.กิตติภูมิ กล่าว

โครงงานของนักศึกษากว่า 70% เป็นโจทย์ที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมจริงๆ เช่น แบรนด์ดังอย่าง AMD นักศึกษาต้องทำวิจัยตลาดจริง วางแผนจริง และสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ใช้งานได้จริง จนมีหลายโปรเจกต์ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อไปใช้งานต่อ ทำให้พวกเขาสะสมผลงานระดับมืออาชีพ (Portfolio) ที่จับต้องได้ และพร้อมทำงานทันทีที่เรียนจบ หรืออาจจะถูกดึงตัวไปทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ

สอนใช้เทคโนโลยี เป็น 'นาย' AI

ดร.กิตติภูมิ กล่าวต่อไปว่าหลักสูตรดังกล่าว เปิดรับนักศึกษามา 8-9 รุ่น และมีการปรับตัวตลอดเวลาเพื่อให้ก้าวทันโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ AI สถาบันการศึกษาบางแห่งอาจกังวลหรือปิดกั้นการใช้เครื่องมือ AI แต่ “ม.กรุงเทพ” กลับมีมุมมองที่สวนกระแส “หลักสูตรการตลาดดิจิทัล” ไม่เพียงไม่ห้ามการใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT แต่ยังสอนให้นักศึกษารู้จักใช้งานอย่างชาญฉลาด เข้าใจข้อจำกัด และมีจริยธรรมในการนำไปใช้

“เป้าหมายสูงสุด คือ การสร้างคนที่สามารถเป็น "ผู้ริเริ่ม" และ "ผู้ตัดสินใจ" ได้โดย AI เป็นเพียงผู้ช่วยที่ทรงพลัง ไม่ใช่คนที่จะเชื่อทุกอย่างที่เครื่องมือบอก เพราะมนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและใช้งานเครื่องมือใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่แค่การกดปุ่มสั่งงาน AI ต้องมีความสามารถในการยืนหยัด ปกป้อง และถกเถียงแนวคิดที่ได้มากับผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจจริงได้” ดร.กิตติภูมิ กล่าว

นี่คือการเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานจริง ที่ซึ่งประสบการณ์กับลูกค้าและทักษะการใช้เครื่องมือล่าสุด มีค่ามากกว่าความรู้ทางทฤษฎีในตำรา

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรนี้ตอบโจทย์นักศึกษารุ่นใหม่อย่างตรงจุด ที่หลายคนมีความฝันอยากจะมีธุรกิจหรือช่องคอนเทนต์เป็นของตัวเอง แต่การสร้างคอนเทนต์ให้มีส่วนร่วม นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่นี่สอนให้คิดไกลกว่านั้น คือการวางโมเดลธุรกิจ และการสร้างรายได้ เพื่อให้ช่องหรือธุรกิจนั้นสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ประชาคมโลกขนาดย่อมในห้องเรียน

ดร.นิธิวดี จรรยาสวัสดิ์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน และหัวหน้าหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (มุ่งเน้นธุรกิจจีน) กล่าวว่า การรู้ภาษาจีนคือตัวสร้างสมดุลที่สำคัญระหว่างวัฒนธรรมธุรกิจโลกตะวันออกและตะวันตก หลักสูตรบริหารธุรกิจ (BBA) ที่เน้นการใช้ภาษาจีนและอังกฤษเพื่อธุรกิจระหว่างประเทศของ ม.กรุงเทพ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบัณฑิตที่พร้อมสำหรับเวทีโลก

“ความแตกต่างของการเรียนรู้ในหลักสูตรดังกล่าว จะเป็นการเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นประชาคมโลกขนาดย่อม ห้องทดลองมีชีวิตสำหรับการพัฒนาธุรกิจข้ามวัฒนธรรม เรียนรู้และสร้างเครือข่ายจากนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติที่มาเรียนร่วมกัน และการรับโจทย์จากธุรกิจ ผู้ประกอบการจริงๆ พวกเขาจะมีต้นทุนของแต่ละชาติมาผสมผสาน ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจแบบผสมผสานที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในห้องเรียนที่มีแต่วัฒนธรรมเดียว”

การเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการลงมือทำผ่าน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ, ธุรกิจสร้างสรรค์ (Creative Business), ธุรกิจบันเทิง (Entertainment Business) และอีกสองกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจโลก นักศึกษาจะได้แก้โจทย์จริงจากบริษัทพันธมิตร และเรียนรู้การใช้เครื่องมือทางธุรกิจในต่างแดนแต่คนไทยอาจยังไม่คุ้นเคย เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซของจีนอย่าง เสี่ยว หงชู (Xiaohongshu) ซึ่งเป็นความรู้เฉพาะทางที่สร้างความได้เปรียบในตลาด

อาชีพหลากหลาย ไม่จำกัดแค่พนักงาน

ดร.นิธิวดี กล่าวต่อว่า เป้าหมายสูงสุดของหลักสูตรคือการสร้างบุคลากร Mobilityซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์การทำงานต่างประเทศ แต่เป็นบุคลากรที่มีความคล่องตัวสูง สามารถดำเนินธุรกิจในบริบทสากลได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ไม่ว่าจะเปิดบริษัทในไทยโดยมีคู่ค้าเป็นชาวต่างชาติ หรือย้ายไปสร้างโอกาสในประเทศอื่นๆ ดังนั้น การศึกษาด้านบริหารธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ต้องเรียนรู้ทฤษฎี ผ่านการบ่มเพาะวิธีคิดแบบสากล (Global Mindset) การฝึกฝนทักษะความร่วมมือข้ามวัฒนธรรม และการติดอาวุธด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อนำทางในโลกที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน

"ธุรกิจในยุคใหม่ที่กว้างไกลกว่าเดิม นักศึกษาไม่ได้ตั้งเป้าเป็นพนักงานออฟฟิศ พวกเขาพร้อมประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อสร้างเส้นทางของตัวเอง เช่น การเป็น KOL ที่เจาะตลาดวงการบันเทิงจีนโดยตรง หลักสูตรดังกล่าว เหมาะสำหรับคนที่มองกว้าง และต้องการสร้างอาชีพที่ไร้พรมแดน คว้าโอกาสในอุตสาหกรรมที่หลากหลายด้วยทักษะภาษาจีน และภาษาอังกฤษ เข้าใจการทำธุรกิจของประเทศต่างๆ”

โลกดิจิทัลที่หมุนเร็วทำให้ทั้งอาจารย์และหลักสูตรต้อง "รีสกิล" อยู่ตลอดเวลา “ม.กรุงเทพ” มหาวิทยาลัยสร้างสรรค์ ต้องอัปเดตเครื่องมือและเนื้อหาการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยมีการนำเครื่องมือใหม่ๆ ที่องค์กรชั้นนำในต่างประเทศมาบรรจุไว้ในหลักสูตร เชิญผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการจริงมาร่วมพัฒนาหลักสูตร ปั้นบัณฑิตรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมและก้าวนำคนอื่นอยู่เสมอ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...