โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

จัดงานการเจรจาการปฏิรูปนโยบายเรื่องการจ้างแรงงานข้ามชาติและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรกรรม

MATICHON ONLINE

อัพเดต 31 ต.ค. 2566 เวลา 07.20 น. • เผยแพร่ 31 ต.ค. 2566 เวลา 04.00 น.

จัดงานการเจรจาการปฏิรูปนโยบายเรื่องการจ้างแรงงานข้ามชาติและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรกรรม

ศูนย์ศึกษาการย้ายถิ่นมหิดล-หน่วยวิจัยร่วม (MMC-JRU) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้จัดงาน “การเจรจาการปฏิรูปนโยบายเรื่องการจ้างแรงงานข้ามชาติและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรกรรม” ในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล ถนนศรีอยุธยา แขวงพญาไท เวลา 08.00-16.30 น. โดยเป็นเวทีระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรกรรม ซึ่งในปัจจุบันภาคเกษตรยังเป็นภาคการผลิตที่สำคัญสำหรับประเทศไทย รายได้รวมของภาคเกษตรกรรมสูงถึงร้อยละ 8.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) จากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ได้ระบุว่าในปี 2561 ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกด้านเกษตรกรรม มีมูลค่าสูงถึง 23.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมจากการใช้กำลังแรงงานไทยอย่างเข้มข้นไปเป็นการจ้างแรงงานข้ามชาติมากยิ่งขึ้น สืบเนื่องมาจากที่ประชาชนมีการศึกษาที่ดีขึ้น มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จากสาเหตุหลายประการดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย

จากสถิติของสำนักบริหารแรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติ (พม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนาม) พบว่า มีแรงงานต่างชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานทั้งหมด จำนวน 2,336,125 คน ทำงานอยู่กิจการภาคเกษตรกรรม จำนวน 251,311 คน และต่อเนื่องเกษตรกรรม จำนวน 251,784 คน ดังนี้

ประเภท/กิจการ เกษตรกรรม ต่อเนื่องเกษตรกรรม รวม

นำเข้าตาม MoU 33,169 92,160 125,329
ไปกลับ/ตามฤดูกาล 9,076 1,088 10,164
ผ่อนผันตามมติ ครม. 209,066 158,536 367,602
รวมทั้งหมด 251,311 251,784 503,095

(สถิติจำนวนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือทั่วราชอาณาจักร เดือนกันยายน 2566, สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว)

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากคุณกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมเปิดงานและปาฐกถา โดยในเวทีสัมมนาได้นำเสนอประเด็นปัญหา 3 ประเด็นหลักในเชิงกฎหมายและนโยบายสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและการจัดสวัสดิการทางสังคมที่จำเป็นสำหรับแรงงานข้ามชาติ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุดารัตน์ มุสิกะวงศ์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอประเด็นเรื่องแรงงานภาคเกษตรที่ส่วนใหญ่ยังจัดเป็นแรงงานนอกระบบการคุ้มครองแรงงานเนื่องจากยังเป็นการจ้างระยะสั้น ๆ ทำให้ความมั่นคงในการจ้างงานยังต่ำ มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรจำนวนมากต้องหานายจ้างหลายคนและหมุนเวียนทำงานในชุมชนเพื่อให้มีรายได้พอเพียงทั้งปี โดยในการทำงานกับนายจ้างหลายคนและหมุนเวียนนายจ้างในลักษณะนี้ อาจจะเข้าเงื่อนไขการทำงานผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตของแรงงานข้ามชาติ หลายรายถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ส่งกลับ หรือถูกปรับ ซึ่งในปัจจุบัน ระบบการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติก็ยังไม่แนวทางแก้ไขข้อจำกัดสำหรับแรงงานข้ามชาติที่ทำงานภาคเกษตรกรรมที่มีลักษณะสภาพการจ้างงานที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้มากนัก และหลายครั้งได้กลายเป็นสาเหตุให้แรงงานข้ามชาติภาคเกษตรต้องหลุดจากระบบการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย กลายเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมายไป

ในด้านการคุ้มครองแรงงาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทรงพันธ์ ตันตระกูล คณะมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสุขภาวะของแรงงานข้ามชาติที่ยังมิได้รับการคุ้มครอง ระบุว่า เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนดการคุ้มครองสิทธิแรงงานที่ทำงานในภาคเกษตรที่ไม่ได้มีการจ้างต่อเนื่องทั้งปีให้มีลักษณะที่แตกต่างจากแรงงานทั่วไป โดยมีการออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม ซึ่งยกเว้นการไม่ใช้บางมาตรตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่เป็นส่วนสำคัญของระบบการคุ้มครอง เช่น ไม่มีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ขึ้นกับการตกลงกันระหว่าลูกจ้างกับนายจ้าง ไม่มีการกำหนดชั่วโมงทำงาน และเวลาพักที่แน่นอน ไม่มีการกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่มีวันหยุดตามประเพณี ไม่มีการกำหนดเวลาทำงานของแรงงานหญิง และเลิกจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในภาคเกษตรกรรมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัจุบันแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในภาคเกษตรส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่ไม่จ้างงานทั้งปี หรือไม่มีการผลิตตลอดทั้งปีกับนายจ้างคนใดคนหนึ่ง ส่งผลให้ถูกตีความว่าเป็นงานในกิจการเกษตรที่ไม่มีการจ้างทั้งปี ส่งผลให้ไม่ได้รับการคุ้มครองโดยเฉพาะเรื่องค่าจ้างค่าแรงาน วันหยุด ค่าจ้างในวันหยุดซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้แรงงานข้ามชาติมีรายได้พอเพียงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

มนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน และคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ระบุถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงการมีหลักประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ แรงงานภาคเกษตรนอกระบบการคุ้มครองแรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้รับสวัสดิการจากการทำงานโดยมี บางกลุ่มที่มีลักษณะการจ้างงานที่มีนายจ้าง นายจ้างจะจัดหาสวัสดิการบางอย่างให้ลูกจ้าง เนื่องจากแรงงานในภาคเกษตรที่ไม่จ้างงานทั้งปี ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนประกันสังคมได้อย่างถูกต้อง ประกันสังคม เนื่องจากตามพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2545 ได้กำหนดให้แรงงานในกิจการเกษตรที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างที่ทำงานตลอดทั้งปี ไม่อยู่ในการบังคับใช้ของพรบ.ประกันสังคม ทำให้สวัสดิการ กลไกการคุ้มครองทางสังคมของแรงงานภาคเกษตรยังขึ้นอยู่กับความเมตตาของนายจ้างและการขูดรีดตัวเองของแรงงาน โดยที่ยังไม่มีระบบหลักประกันทางสังคมของภาครัฐที่เข้าดูแล ในขณะที่ความมั่นคงในการจ้างงานต่ำ และต้องทำงานหนักเนื่องจากรายได้ที่ไม่แน่นอน ทำให้มีความเสี่ยงต่อเรื่องสุขภาพค่อนข้างมาก

หากพิจารณาเงื่อนไขในการเข้าไม่ถึงประกันสังคมโดยผลของกฎหมายในกิจการภาคเกษตรที่ไม่จ้างงานกับนายจ้างรายเดียวทั้งปีนั้น ก็แทบไม่พบเงื่อนไขใด ๆ ที่แตกต่างระหว่างแรงงานภาคเกษตรที่จ้างงานทั้งปีมากนัก เช่น นิติสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างและนายจ้างตามพ.ร.บ.ประกันสังคม ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ยังถือว่าทั้งคู่เป็นลูกจ้างตามกฎหมาย ขณะเดียวกันก็พบว่าเกษตรกรรมที่จ้างทั้งปี ก็มีการเปลี่ยนย้ายนายจ้าง เช่น เดียวกับแรงงานที่ไม่จ้างทั้งปี ประกันสังคมก็มีระบุการแจ้งย้ายนายจ้าง มีระบบการเก็บเงินสมทบที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนย้ายนายจ้าง

หากพิจารณาในเรื่องเงินสมทบกฎหมายประกันสังคมในปัจจุบันก็ไม่ได้มีข้อจำกัดในลักษณะการจ้างงานไม่ทั้งปีแต่อย่างใด เนื่องจากมีการคิดค่าจ้างที่ต้องหักจ่ายสมทบในหลายรูปแบบ และอิงตามรายได้ของผู้ประกันตนในแต่ละเดือน โดยให้นายจ้างเป็นผู้หักจ่ายเงินสมทย ส่วนประเด็นสิทธิประโยชน์ประกันสังคม เป็นสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับแรงงานเกือบทุกคน ดังนั้นหากพิจารณาในแง่นี้ การกำหนดให้ภาคเกษตรที่ไม่ได้จ้างทั้งปี (กับนายจ้างรายเดียว) ไม่อยู่ในกองทุนประกันสังคม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2545 จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาทบทวน

ข้อเสนอจากการสัมมนาในครั้งนี้ จึงมุ่งไปการเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขในเชิงกฎหมายและนโยบายในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติและการคุ้มครองแรงงานในภาคเกษตรทั้งระบบ โดยมีข้อเสนอสำคัญ

หนึ่ง จะต้องมีการกำหนดนโยบายจ้างแรงงานข้ามชาติที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและเอื้อต่อการจ้างงานในรูปแบบที่หลากหลายในภาคเกษตร รวมทั้งแก้ไขประกาศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนย้ายนายจ้างของแรงงานข้ามชาติในกิจการภาคเกษตรกรรม ให้รองรับการจ้างงานที่สามารถทำได้กับนายจ้างมากกว่าหนึ่งราย

สอง แก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรมเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานที่สำคัญภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานครอบคลุมแรงงานในภาคเกษตรทั้งหมดโดยไม่จำกัดวิธีการจ้างหรือระยะเวลาการทำงาน

สาม พิจารณาแก้ไขทบทวนพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2545

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...