“เศรษฐกิจอังกฤษ” หดตัวต่อเนื่องเดือน พ.ค. แรงกดดันภาษีทรัมป์-ภาษีภายในประเทศ
เศรษฐกิจอังกฤษ หดตัว 0.1% ในเดือนพฤษภาคม ผลกระทบจากการขึ้นภาษี ขณะนักวิเคราะห์เตือนแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2568 ยังอ่อนแอ แม้มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐแล้วก็ตาม
วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.04 น. สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (Office for National Statistics – ONS) ระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหราชอาณาจักรหดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่นักวิเคราะห์ที่ Reuters สำรวจคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตขึ้น 0.1%
ตัวเลขนี้ต่อเนื่องจากการหดตัว 0.3% ในเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับช่วงที่รัฐบาลอังกฤษขึ้นภาษีในประเทศ และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีกับทั้งพันธมิตรและคู่แข่งทางการค้า ความวุ่นวายจากภาษีส่งผลให้ตลาดโลกผันผวนอย่างหนัก และสร้างความไม่แน่นอนให้ภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง
แม้สหราชอาณาจักรจะมีดุลการค้าสินค้าที่ค่อนข้างสมดุลกับสหรัฐ แต่ก็ยังถูกเก็บภาษีตอบโต้ 10% จากทรัมป์ โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองการค้า ขณะที่ข้อมูล ONS ปี 2567 ระบุว่าอังกฤษมีดุลเกินดุลในภาคบริการเมื่อเทียบกับสหรัฐ
ภายหลังอังกฤษสามารถเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้สำเร็จ กลายเป็นประเทศแรกที่ลงนามได้สำเร็จ ขณะที่การเจรจากับประเทศอื่น เช่น สหภาพยุโรป ยังคงหยุดชะงักและรอความคืบหน้า
แม้จะมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐแล้ว แต่เศรษฐกิจในประเทศยังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการขยายตัวของ GDP ที่สูงถึง 0.7% ในไตรมาสแรกของปี 2568 ซึ่งน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร่งดำเนินก่อนมาตรการภาษีของทรัมป์ จะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในไตรมาสถัดไป ข้อมูล GDP ไตรมาส 2 จะเผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 14 สิงหาคม
นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวตลอดทั้งปีจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ว่า GDP ทั้งปี 2568 จะเติบโตเพียง 1%
Sanjay Raja หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อังกฤษจาก Deutsche Bank เคยประเมินว่า GDP เดือนพฤษภาคมน่าจะขยายตัวเล็กน้อย แต่ได้ปรับลดแนวโน้มการเติบโตในช่วงที่เหลือของปี
“จากจุดนี้ไป ความเสี่ยงฝั่งลบเริ่มปรากฏในประมาณการ GDP ไตรมาส 2 และทั้งปี 2568 …ตัวเลขเดือนเมษายนที่เลวร้ายทำให้เราต้องลดประมาณการรายไตรมาสลง 0.1 จุด จากเดิมคาด 0.25% เหลือ 0.1–0.2% ซึ่งยังส่งผลลบต่อประมาณการทั้งปีที่คาดไว้ 1.2% อีกด้วย”
อ้างอิง : cnbc.com