“โดนัลด์ ทรัมป์” ฟันธง! ไทยโดน “ภาษีศุลกากร" 36% “ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจร” แนะรัฐหาทางดึงนลท.กลับไทย
น่าจะเป็นความชัดเจนกับการที่ทางสหรัฐอเมริกาภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดินหน้าปรับ "ภาษีศุลกากร" กับประเทศคู่ค้า 14 ประเทศ ไทยติดโผโดนภาษีสูงสุดอันดับต้นๆที่ 36% พร้อมสัญญาณเตือนว่าภาษีอาจปรับขึ้น-ลงได้อีกตาม “ความสัมพันธ์”
โดยทางประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายถึงรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เมื่อช่วง 3.38 น. ตามเวลาท้องถิ่นของไทย ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social
ซึ่งมาตรการใหม่นี้เป็น "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Tariffs) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าสหรัฐฯ โดยจะเริ่มมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบ และอัตราภาษีใหม่ ได้แก่ ไทย: 36% (คงเดิม) ,ลาว-เมียนมา: 40% ,กัมพูชา: 36% ,บังกลาเทศ-เซอร์เบีย: 35% ,อินโดนีเซีย: 32% ,บอสเนีย-แอฟริกาใต้: 30% ,ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-มาเลเซีย: 25% ,ตูนิเซีย: 25% ทั้งนี้เส้นตายภาษีเดิม 9 กรกฎาคม 2568 ถูกเลื่อนออกเป็น 1 สิงหาคม 2568
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าประเทศไทย ได้พยายามที่จะเจรจากับทางสหรัฐฯ โดย “ทีมไทยแลนด์” ที่มี “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าทีม ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กของนายพิชัย ชุณหวชิร โพสต์ย้ำว่า "ทีมเจรจาสู้แล้ว สู้ต่อ สู้ไม่ถอยครับ" และเสริมว่า จากจดหมายล่าสุดของสหรัฐฯ แปลว่าสหรัฐฯ ยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอล่าสุดของไทย อย่างไรก็ดี หัวหน้าทีมไทยแลนด์ระบุว่า รัฐบาลจะหามาตรการเพิ่มเติม และหาทางออกให้ได้
สำหรับข้อเรียกร้องที่ต้องการให้เปิดเผยประเด็นการพูดคุย ตนต้องเรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า การพูดคุยทุกวันนี้และทุกนาที เป็นการเจรจากับทุกทีมที่เกี่ยวข้องทั้งของสหรัฐฯ และไทย ซึ่งยังถือเป็นชั้นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ตามข้อตกลงและมารยาทการเจรจา เพราะมีข้อเจรจาที่ยังต้องพิจารณากันอีก แต่ยืนยันได้ว่า คณะทำงานปักธงเจรจาโดยยึดผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ ข้อตกลงจะต้อง Win-win และยั่งยืนกับทั้งสองประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวังก็คือการทำให้ภาคเศรษฐกิจ ภาคประชาชนของประเทศไทยยังคงแข่งขันได้บนเวทีโลก
ขณะที่ในมุมมองของนักวิชาการ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิงห์ สิงห์ขจร” คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เผยว่า การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกจากไทยเข้าสู่สหรัฐอเมริกา หากมาดูในปี 2567 ประเทศไทยที่มีการค้าร่วมกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีมูลค่า 1,925,483 ล้านบาท และประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนเงิน 1,233,326 ล้านบาท โดยสินค้าของประเทศไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อันดับหนึ่งคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อันดับสองคือ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อันดับที่สามคือ ผลิตภัณฑ์ยาง
หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน สหรัฐอเมริกาก็มีการจัดเก็บภาษีที่แตกต่างกัน ประเทศเวียดนาม สหรัฐอเมริกาจัดเก็บภาษี 20% ประเทศมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาจัดเก็บภาษี 25% ประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกาจัดเก็บภาษี 32% ทำให้ประเทศเสียเปรียบในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา จากอัตราภาษีที่สูงขึ้น ทำให้ราคาต้นทุนในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามกับประเทศไทยที่มีอัตราภาษีที่แตกต่างกันถึง 16% ประเทศไทยจะไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทยในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา
ผลกระทบต่อประเทศไทยคือขึ้นภาษีนำเข้า 36 % จากสินค้าที่มาจากประเทศไทย จะทำให้มูลค่าทางการค้าปรับตัวลดลง แต่สินค้าของประเทศไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาอันดับ 1 และอันดับสองเป็นสินค้าที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ และ เครื่องโทรศัพท์ รวมไปถึงอุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งสินค้าทั้งสองแบบนั้นมีระยะเวลาในการใช้งานที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีมูลค่าสูงในปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ในการส่งออกสินค้าของประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกา ยังไม่รวมไปถึงสินค้าด้านการเกษตร สินค้าด้านอาหารแปรรูป ที่จะได้รับผลกระทบจากการสั่งซื้อที่จะมีโอกาสลดลงถึงไม่มีการสั่งซื้อจากประเทศไทย เพราะมีราคาสูงกว่าประเทศอื่นๆ เป็นโจทย์ใหญ่ของทางรัฐบาลในการต้องหาวิธีการในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในการต่อรองในการจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ให้อยู่ในอัตราที่ประเทศไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนกลับมาลงทุนในประเทศไทย และต้องรีบเร่งดำเนินการก่อนที่ประกาศภาษีนำเข้า 36 % ของประเทศไทยจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2568
ผลกระทบการเก็บภาษีของทางสหรัฐฯในครั้งนี้ เชื่อว่าจะส่งผลต่อตัวเลขการส่งออกของไทยแน่นอน!!
“รัฐบาล-ผู้ส่งออก” ต้องเตรียมพร้อม และหาแนวทางรับมือ!
หากเจรจาไม่สำเร็จ!!!