พลิกโฉมดูแลรักษา 'เบาหวาน' แบบมุ่งเป้ารายบุคคล โรคสงบ-สกัดป่วย
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน และผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ ความอ้วน ปัจจุบันความชุกโรคเบาหวานในไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายในปี 2540 พบความชุกจาก 4.8 % เพิ่มขึ้นเป็น 9.5% ในปี 2563 หากใช้การวินิจฉัยโดยระดับน้ำตาลช่วงอดอาหารเป็นเกณฑ์การวินิจฉัย
แต่หากวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดย้อนหลัง 2–3 เดือนเป็นเกณฑ์การวินิจฉัยร่วมด้วย จะพบว่า ความชุกของผู้เป็นเบาหวานสูงถึง 11% ในจำนวนนี้มีผู้ที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมายเพียง 26.3% จึงเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ เบาหวานจอตา ตาบอด ไตวาย เท้าเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
ชุมชนรังสรรค์นวัตกรรมเบาหวานสงบ
นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสสส. กล่าวว่า สสส.มีการสนับสนุนโครงการชุมชนรังสรรค์นวัตกรรมเบาหวานสงบได้ หลักสำคัญ คือ การเชื่อมโยงระบบบริการรักษาพยาบาลเบาหวาน นักวิชาการกับอสม.และชุมชน ในการทำงานร่วมกันกับประชาชนทั้งกลุ่มที่เป็นเบาหวาน กลุ่มก่อนเบาหวาน หรือกลุ่มภาวะอ้วนแล้วในอนาคตอาจจะกลายเป็นเบาหวาน เพื่อลดโอกาสป่วยเป็นเบาหวานและสงบเบาหวานได้ ซึ่งรพ.โพนสวรรค์ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม คือ พื้นที่ต้นแบบในการดำเนินการ
ความโดดเด่น คือ การนำต้นแบบจากพื้นที่อื่นมาหลอมรวมกระบวนการต่างๆ บวกกับวิชาการที่เข้มข้น และปรับปรุงให้เข้าถึงวิถีชีวิตของชุมชน โดยให้นักวิชากร ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ พยาบาลเข้าถึงชาวบ้าน ปรับปรุงวิถีชีวิต การกินให้เข้ากับพื้นที่ได้ ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดูงานและขยายผล ไม่เฉพาะในพื้นที่จ.นครพนมเท่านั้น รวมถึงจังหวัดอื่นๆด้วย เป็นโมเดลต้นแบบ
อนาคตช่วยลดค่าใช้จ่ายประเทศ
จำเป็นต้องมีการปรับบริการให้เป็นเชิงรุก เพราะบริการเชิงรับเป็นการใช้การแพทย์แผนตะวันตก แต่ถ้าปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับชุมชนและสามารถที่จะใช้ผัก สมุนไพร อาหารในชุมชนมาปรับเปลี่ยนวิธีคิดได้ ก็จะเป็นการแพทย์เชิงรุก ฮุกกลับระบบสุขภาพ ทำให้คนไม่ต้องเป็นโรค ไม่ต้องเข้ามาสู่สายพานลำเลียงในการรักษาพยาบาล มารับยา กินยา และป่วยล้างไต ซึ่งเป็นบริการเชิงรับ ส่วนบริการเชิงรุก คือ สุขภาพดีเป็นเรื่องของเวลเนส สุขภาวะที่ดี วิถีชีวิต แค่เพียงเปลี่ยนหลักคิด วิธีคิด ,เปลี่ยนพฤติกรรมและนำสู่เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ ก็มีสุขภาพดี
“หากปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรม ในที่สุดแล้วระยะยาว 5-10 ปี ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลก็จะลดลงได้ และใช้งบฯในการดูแลคนป่วยที่จำเป็นต้องป่วยจริงๆ ส่วนคนป่วยที่ไม่จำเป็นต้องป่วย หากควบคุมพฤติกรรมได้ โรคก็สงบได้ หายได้”นพ.พงษ์เทพกล่าว
รักษาเบาหวานแบบมุ่งเป้ารายบุคคล
ขณะที่ นพ.วิพุธ พูลเจริญ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย ผู้รับผิดชอบโครงการสาธารณสุขมูลฐานเขตเมือง แนวรุกสู่การป้องกันและสงบเบาหวาน กล่าวว่า โครงการสาธารณสุขมูลฐานเขตเมือง แนวรุกสู่การป้องกันและสงบเบาหวาน เป็นการขยายผลจากโครงทดลองระบบบริการสุขภาพสร้างเสริมในเขตเมืองช่วงโควิด-19
โดยมีเป้าหมายป้องกันการเกิดผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะเบาหวานสงบ (DM Remission) ผ่านแนวทาง “การดูแลสุขภาพเบื้องต้นแบบเฉพาะบุคคลและแม่นยำ(Personalized & Precision Primary Health Care)” ที่เน้นการสร้างระบบร่วมจัดการระหว่างหน่วยบริการสุขภาพและสาธารณสุขมูลฐานชุมชน
ด้วยกลไก 6 ระบบ ได้แก่ ระบบข้อมูล ระบบบริการกำลังคน ระบบทรัพยากร ระบบเทคโนโลยี ระบบบริหารจัดการ ระบบสร้างความรอบรู้ ผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ การสร้างพื้นที่บริการร่วม ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้านสุขภาพ การปรับพฤติกรรม และการติดตามเฉพาะบุคคล นำร่องที่อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม มีเป้าหมายขยายเป็นระบบบริการประจำในปี 2568 พร้อมเชื่อมโยงกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผสานเทคโนโลยีและภาคีเครือข่ายเพื่อควบคุมโรคเบาหวานอย่างตรงจุด
ทั้งนี้ การดูแลรักษาเบาหวาน รูปแบบเดิม เป็นบริการทางการแพทย์ในบริการผู้ป่วยนอก มุ่งรักษาเฉพาะโรคเบาหวานหรือภาวะแทรกซ้อนในคลินิกบริการตามเวลาที่กำหนดไว้เชิงตั้งรับ มีเป้าหมายการรักษามุ่งลดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด
ส่วนรูปแบบใหม่ แบบมุ่งเป้า ในระดับชุมชนมุ่งปรับบทบาทของชุมชนและท้องถิ่นสู่การสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านวิธีสร้างความรอบรู้เฉพาะบุคคล เป็นการมุ่งสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันและสงบเบาหวาน ด้วยแนวทางเวชปฏิบัติมุ่งเป้าเฉพาะบุคคล ใช้วิธีการปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเข้มงวดในแต่ละบุคคลที่มีภาวะร่างกายและบริบททางสังคมต่างกัน
6 ฐานควบคุมและสงบเบาหวาน
ผศ.ดร.เบญจยามาศ พิลายนต์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า การดำเนินงานนำร่องพื้นที่ อ.โพนสวรรค์เป็นจุดนำร่อง ซึ่งมีพฤติกรรม เช่น การบริโภคอาหารสำเร็จรูปและการเคลื่อนไหวน้อย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน โดยปี 2567 พบผู้ป่วยเบาหวาน 731 คน เพิ่มขึ้นจาก 654 คนในปี 2565 และ 59.9% ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ขณะที่ 476 คนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
กระบวนการเริ่มจากรพ.โพนสวรรค์ ได้ริเริ่มคลินิก ‘DM Remission’ โดยนำโภชนบำบัดแบบ Low Carb มาใช้ พร้อมจัดโปรแกรมดูแลร่วม 8 สัปดาห์ มีกลุ่มเป้าหมาย 100 คน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่1 ต้องให้เฝ้าระวังตัวเอง ไม่มีอาการ ประวัติพันธุกรรมหรือการติดเชื้อ
- กลุ่มที่2 และ 3 ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่ม อยู่ในภาวะก่อนเบหวาน ต้องจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง
- กลุ่มที่ 4 ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะเบาหวานที่ต้องให้การรักษา และ 5 เบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนที่ต้องฟื้นฟู เป็นกลุ่มที่ต้องสงบเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
จากนั้นให้กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วม 6 ฐานการเรียนรู้ ในการควบคุมและสงบเบาหวาน ได้แก่ ฐานที่ 1 ไผเป็นไผ ให้รู้จักสุขภาพของตนเอง ด้วยการประเมินความเสี่ยงเบาหวานผ่านดิจิทัลและวัดองค์ประกอบร่างกาย
ฐานที่ 2 แฮงฮึด เป้าหมายฮู้โต สะท้อนข้อมูลสุขภาพและร่วมวางเป้าหมายดูแลตนเองกับทีมผู้ให้บริการ
ฐานที่ 3 ฉากทัศน์สาธารณสุขมูลฐานยุคดิจิทัล มองอนาคตที่ชุมชนดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วยข้อมูลดิจิทัลและความรู้จากสหวิชาชีพ
ฐานที่ 4 วางเมนูม่วนกับหมอข้าวและกับข้าวบ้านเฮา การวางแผนอาหารที่เหมาะสมกับตัวเอง ร่วมกับนักโภชนาการและรู้จักอาหารสุขภาพพื้นบ้านจากชุมชนที่ดีต่อใจและดีต่อโรค
ฐานที่ 5 ขยับไปฮอดเป้า แผนการเคลื่อนไหวสร้างกล้ามเนื้อที่เหมาะกับตนเอง ร่วมกับนักวิชาชีพด้านการกีฬาและกายภาพ
และฐานที่ 6 ย้อนเบิ่ง ย้อนฮู้โต ทบทวนผลลัพธ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงสุขภาพของตนเอง
ตัวอย่างแผนมุ่งเป้ารายบุคคล
ตัวอย่างการดูแลรักษาเบาหวานแบบมุ่งเป้ารายบุคคล เพศชาย ผลการวิเคราะห์ร่างกาย อายุ 50 ปี อายุร่างกาย 56 ปี เป็นเบาหวาน และเป็นโรคความดันโลหิตสูง รอบเอว 94 เซนติเมตร ไขมัน 29 % ไขมันช่องท้อง 8.5 ไตรกลีเซอไรด์ 220 BMI 30 กล้ามเนื้อ 28.9 %
มีการวิเคราะห์และวางแผนวิธีปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยรายนี้ โดยกำหนดเป้าหมาย 3 เดือน คือ ลดน้ำตาลในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ไม่เกิน 150 ติดตามค่าความดันโลหิต ลดน้ำหนักตัวเดือนละ 1-2 กิโลกรัม ด้วยการกำหนดอาหาร Low carb โปรตีน 40 % คาร์บ 20 % ไขมัน 40 % ร่วมกับการเพิ่มกล้ามเนื้อโดยออกกำลังกายแบบแอโรบิคหรือคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ 150-300 นาที เพื่อเผาผลาญพลังงาน