ก้าวต่อไปของ ChatGPT: OpenAI เซ็นสัญญามูลค่า 200 ล้านเหรียญกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา วงการเทคโนโลยีและภาครัฐต้องจับตามองอีกครั้ง เมื่อ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงครั้งสำคัญกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD) โดยได้รับสัญญามูลค่าสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนา "ต้นแบบขีดความสามารถ AI สุดล้ำ (Prototype Frontier AI Capabilities)"
ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นผ่านสำนักงานประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Chief Digital and Artificial Intelligence Office - CDAO) ของกระทรวงกลาโหม และมีกรอบระยะเวลาโครงการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในหนึ่งปี
แถลงการณ์จาก OpenAI ระบุว่า เทคโนโลยี AI ของบริษัทจะเข้ามาช่วยสนับสนุนภารกิจของกระทรวงฯ ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ "การปฏิรูปการดำเนินงานด้านธุรการ ไปจนถึงการปรับปรุงวิธีตรวจสอบข้อมูลโครงการและการจัดซื้อจัดจ้าง และการสนับสนุนการป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุก (Proactive Cybersecurity)"
ซึ่งหมายความว่าเทคโนโลยีของ OpenAI อาจไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเอกสาร แต่ยังอาจเข้าไปมีบทบาทสำคัญในระบบดิจิทัลที่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันทุกคน และที่สำคัญ นี่อาจเป็นเพียงก้าวแรกของการนำไปใช้ในวงกว้างโดยหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ทั่วประเทศ
ก้าวแรกของโครงการริเริ่ม "OpenAI for Government"
สัญญามูลค่า 200 ล้านดอลลาร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงเดี่ยวๆ แต่ยังถือเป็นโครงการนำร่อง (Pilot Program) และเป็นความร่วมมือแรกภายใต้โครงการริเริ่มใหม่ที่ชื่อว่า "OpenAI for Government"
เป้าหมายของโครงการนี้คือการนำเครื่องมือ AI ไปสู่มือของ "ข้าราชการทั่วสหรัฐอเมริกา" โดย OpenAI จะนำเสนอการเข้าถึงโมเดล AI ของตน "ภายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนด (Secure and Compliant Environment)" นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเสนอโมเดล AI ที่ปรับแต่งขึ้นเป็นพิเศษสำหรับภารกิจด้านความมั่นคงแห่งชาติให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลาง รัฐ และท้องถิ่นในวงจำกัดอีกด้วย
ไม่ใช่ครั้งแรก: ประวัติความร่วมมือกับภาครัฐ
การรุกคืบเข้าสู่ภาครัฐของ OpenAI ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม บริษัทได้เปิดตัว ChatGPT Gov ซึ่งเป็นช่องทางพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้าถึงโมเดลของ OpenAI โดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยที่จำเป็น
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมยังต่อยอดจากความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกรวมเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มของ "OpenAI for Government":
- ห้องปฏิบัติการแห่งชาติของสหรัฐฯ (US National Labs)
- ห้องปฏิบัติการวิจัยของกองทัพอากาศ (Air Force Research Laboratory)
- องค์การ NASA
- สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health - NIH)
- กระทรวงการคลัง (Department of the Treasury)
ยิ่งไปกว่านั้น ปลายปีที่แล้ว OpenAI ยังได้ประกาศความร่วมมือกับ Anduril บริษัทผู้รับเหมาด้านกลาโหมที่เน้นเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์/โดรน ซึ่งแถลงการณ์ของ Anduril ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ OpenAI ในการ "ปรับปรุงระบบป้องกันประเทศที่ปกป้องบุคลากรทางทหารของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจากการโจมตีโดยโดรนและอากาศยานอื่นๆ"
คำถามใหญ่ที่ยังไร้คำตอบ: ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
การนำ Generative AI เข้าไปใช้ในการดำเนินงานของรัฐบาล ย่อมทำให้ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทวีความสำคัญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน สถานะทางกฎหมาย หรือกิจกรรมการบังคับใช้กฎหมาย
ดีลครั้งนี้จึงเป็นการทดสอบนโยบายของ OpenAI ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า AI ของตนจะต้องไม่ถูกนำไปใช้เพื่อละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล ซึ่งรวมถึง:
- การสร้างหรือขยายฐานข้อมูลการจดจำใบหน้าโดยไม่ได้รับความยินยอม
- การระบุตัวตนทางชีวภาพระยะไกลแบบเรียลไทม์ในพื้นที่สาธารณะเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมาย
ภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบที่ยังไม่นิ่ง
นับตั้งแต่ ChatGPT จุดประกายกระแส Generative AI ในช่วงปลายปี 2022 รัฐบาลทั่วโลกต่างพยายามหาวิธีนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้และกำกับดูแลไปพร้อมๆ กัน แต่ในสหรัฐฯ เองก็ยังไม่มีกฎระเบียบของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับ AI ที่เป็นรูปธรรมออกมา
ในขณะที่หน่วยงานอย่างสำนักงานลิขสิทธิ์แห่งสหรัฐอเมริกาได้เริ่มวางแนวทางบางอย่าง อีกด้านหนึ่งในชั้นศาล บริษัท AI ต่างๆ รวมถึง OpenAI ก็กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องจากกลุ่มผู้จัดพิมพ์และศิลปินในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์และนำข้อมูลไปใช้ฝึกฝนอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่อุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญต่อไป
ที่มา: cnet.com