Sea Spec #เด็กทะเล [Yaoi]
ข้อมูลเบื้องต้น
---------------------------------------------
วันเวย์ :: เขียน
‘ทะเล’ น่ะอันตราย! ยิ่งมันสงบมากเท่าไหร่ หลังจากนั้นพายุใหญ่จะมาเสมอ…
ส่วน‘เม่น’ มันก็มีหนาม ย่ามใจมากๆ อาจจะโดนมัน ‘แทง’ เลือดอาบเข้าสักวัน!
สั่งซื้อหนังสือ (Shopee) :: https://shope.ee/2VPZ66szr6
หรือ DM ทวิตเตอร์ และ ข้อความทาง Page Facebook ได้ค่ะ
ช่องทางการติดต่อ
Facebook : วันเวย์
Twitter : @Onewayy17
E-mail : Onewayyy17@gmail.com
---------------------------------------------
Warning!
นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 18+ ขึ้นไป
มีคำหยาบคาย และพฤติกรรมของตัวละครบางอย่างไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Start : 17/8/2016---------------------------------------------
:: E-Book ::
Sea Spec เด็กทะเล 1วันเวย์www.mebmarket.comจากกรุงเทพฯ สู่เมืองใต้…คือระยะทางที่ลูกชายผู้ไม่เคยพบหน้าพ่อ ดั้นด้นเดินทางมา‘นายหัวชาญ’ เจ้าของท่าเรือใหญ่ คือจุดหมายที่ ‘ทะเล’ ตามหาทว่า…การเป็นลูกนายหัวแห่งเกาะใหญ่ไม่ง่ายอย่างที่คิดชีวิตลูกทะเลก็เป็นอะไรที่คุณชายจากเมืองกรุงไม่เคยสัมผัสคราวแรกก็ตั้งใจว่า มา…เพื่อ ‘พ่อ’ เท่านั้นไม่คิดไม่ฝันว่าคนโมโหร้ายอย่าง ‘นายช่างใหญ่’จะกลายเป็นบ่วง ทั้งผูกและพันการเดินทางกลับกรุงเทพฯ อีกครั้ง จึงไม่ง่ายอีกต่อไป
Sea Spec เด็กทะเล 2วันเวย์www.mebmarket.comจากกรุงเทพฯ สู่เมืองใต้…คือระยะทางที่ลูกชายผู้ไม่เคยพบหน้าพ่อ ดั้นด้นเดินทางมา‘นายหัวชาญ’ เจ้าของท่าเรือใหญ่ คือจุดหมายที่ ‘ทะเล’ ตามหาทว่า…การเป็นลูกนายหัวแห่งเกาะใหญ่ไม่ง่ายอย่างที่คิดชีวิตลูกทะเลก็เป็นอะไรที่คุณชายจากเมืองกรุงไม่เคยสัมผัสคราวแรกก็ตั้งใจว่า มา…เพื่อ ‘พ่อ’ เท่านั้นไม่คิดไม่ฝันว่าคนโมโหร้ายอย่าง ‘นายช่างใหญ่’จะกลายเป็นบ่วง ทั้งผูกและพันการเดินทางกลับกรุงเทพฯ อีกครั้ง จึงไม่ง่ายอีกต่อไป
วงเล่าวันเวย์www.mebmarket.comพี่ชาติมือชง (และเหล่าลูกทีม) กับมหกรรมการสะ… ศึกษาเรื่องชาวบ้าน -..-ตามติดกิจกรรมจับกลุ่มเม้า และเรื่องเล่าของขาเผือกประจำท่าเรือชาญทะเล
Sea Spec : บทนำ
บทนำ
นอนไม่หลับ…
อาจเพราะแปลกที่ แปลกบรรยากาศ แปลก…กระทั่งอากาศที่หายใจเข้าไป กลิ่นเค็มของเกลือทะเลทำเอาคนไม่คุ้นเคยแสบจมูก ยิ่งเคยอยู่แต่ในห้องปรับอุณหภูมิ มาเจอแบบนี้ภูมิคุ้มกันในตัวเลยต้องทำโอทีกันหนัก
ทะเลตอนกลางคืนดูน่ากลัวนัก หันไปทางไหนก็มีแต่ที่โล่งกว้าง ดูอ้างว้างเดียวดาย แตกต่างเหลือเกินกับเมืองฟ้า กรุงเทพฯ เมืองใหญ่มองมุมไหนก็มีแต่ตึกสูงเป็นทิวทัศน์ มือขาว ราวกับไม่เคยโดนแดดโดนลมเปิดประตูออกไปยืนรับลมบนระเบียงบ้าน
ผืนน้ำกว้างใหญ่ หาดทรายทอดไกลสุดสายตา เสียงคลื่นซัดซาไม่ขาดสาย ฟองสีขาวแตกกระจายเมื่อกระทบโขดหิน เมื่อเงยหน้าขึ้นฟ้าก็พบจุดระยิบระยับละลานตา แม้วันนี้เป็นคืนเดือนหงาย แต่ฟ้าโปร่งเป็นใจ จึงเห็นดาวได้ยิ่งกว่าชัด คนนอนไม่หลับจุดยิ้มมุมปาก ผ่อนคลายกับธรรมชาติตรงหน้า
ไกลออกไป…เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งลอยคออยู่กลางทะเล
จะบอกว่ามาเล่นน้ำ…ตีสามก็ดูจะดึกเกินไป
หรือจะเป็นชาวบ้านออกมาหาปลา…ทว่าก็ไม่เห็นเรือสักลำ
เหลือข้อสันนิษฐานเดียวเท่านั้น…ฆ่าตัวตาย!
ชายหนุ่มใจกระตุก มือเท้าเย็นเยียบ เพ่งสายตามองให้ชัดถึงรูปพรรณสัณฐานของคนคิดสั้น เขาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำสัน ผิวคล้ำ ใบหน้ารกครึมหนวดเครารุงรัง ชั่วจังหวะที่ดวงตาคู่นั้นล้อกับแสงจันทร์ ไม่รู้ทำไมเขามองเห็นประกายตาสิ้นหวังสะท้อนอย่างชัดเจน
คนบนระเบียงหันรีหันขวาง ตกตะลึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายจมหายไปกับตา เสียงในหัวร้องลั่นสั่งให้ ‘ช่วย’
แม้ไม่รู้เลยว่าจะช่วยได้อย่างไร แต่การได้ทำอะไรเสียบ้างก็ยังดีกว่าปล่อยให้โชคชะตากำหนดชีวิตผู้ชายคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียว ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเตรียมออกวิ่ง ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้า เงาดำนั่นก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา ชายแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักเดินอาดๆ ขึ้นจากน้ำ หายลับไปตามทางมืดมนจนกระทั่งหลุดกรอบสายตา
เป็นอันว่า…ไม่ตาย!
ไม่มีคนฆ่าตัวตาย ไม่มีเรื่องร้ายอะไรทั้งนั้น
มีเพียงเขา…ไอ้โง่ที่บังเอิญผ่านมาเห็นคนลอยคอกลางทะเลแล้วเผลอคิดเป็นตุเป็นตะ จากที่แรกเริ่มแค่แปลกถิ่นนอนไม่หลับ กลับกลายเป็นตาค้าง ร่างกายตื่นตัวหนักกว่าเก่า
“เฮ้อ…” คนเจอดีถอนหายใจ
เมื่อกี้…
ผีหรือคนก็ไม่รู้…
ไม่รู้อะไรสักอย่าง
น่าแปลกที่ดวงตาเจ็บปวดคู่นั้นติดอยู่ในหัวเขาราวกับโดนเล่นของ
-------
TBC
Sea Spec : บทที่ 1 : ลูกทะเล [100%]
บทที่ 1
ลูกทะเล
“อ้าว!ตื่นแล้วเรอะไอ้เด็กเมืองกรุง”
เจ้าของเสียงดุรัวเร็วเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้อง ทั้งหน้าทั้งผมยุ่งเหยิงตามประสาคนเพิ่งตื่นนอน ‘เด็กเมืองกรุง’ มองสภาพนอนไม่พอของคนเป็นพ่อแล้วยิ้มให้กับผ้าขาวม้าผืนเดียวที่คาดบั้นเอวหนา มันหลวมจนน่ากลัวว่าจะหลุดลงต่อหน้าเขา ถึงอย่างนั้นคนสวมมันก็ดูไม่เดือดร้อนอะไร คล้ายเป็นความเคยชินสำหรับคนใต้ ในวันที่อากาศร้อนแต่เช้าตรู่
“ยังไม่ได้นอนเลยต่างหากล่ะครับ”
“นอนไม่หลับล่ะสิเอ็ง บ้านนอกก็อย่างนี้ล่ะวะ เสียงคลื่นเสียงลมมันแรง”
คนนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินเลี้ยวมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน โต๊ะไม้ยางพาราสีกระดำกระด่างกลายเป็นทั้งโต๊ะอาหาร โต๊ะวางของ เอนกประสงค์ไปในตัว มือหยาบกร้านคว้าขวดน้ำกรอกปาก ไม่สนใจจะเทใส่ภาชนะใดๆ ดื่มเสร็จก็โยนขวดพลาสติกส่งๆ ไว้มุมหนึ่งของโต๊ะ
เปล่าเลย…ไม่ใช่เสียงคลื่นเสียงลมที่ทำให้เขาตาค้าง…
เป็นอาการตกใจที่เห็นคนจะฆ่าตัวตายนั่นมากกว่า ภาพที่เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา ยังดีที่มันเป็นแค่การวิตกจริตของเขาเท่านั้น
“ผมคงตื่นเต้นมั้งครับ เพิ่งเคยมาบ้านพ่อครั้งแรก”
สิ่งที่ตอบบุพการีไปเป็นคนละอย่างกับที่ใจคิด
ชายหนุ่มยิ้ม…รอยยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาผลักหัวเขา
“ตื่นเต้นทำห่าอะไรล่ะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เอ็งตื่นตาตื่นใจ ไม่สุขสบายเท่าวังของแม่เอ็งหรอก”
พ่อประชด…เขารู้
วังของแม่ แท้ที่จริงแล้วก็คือคฤหาสน์หลังใหญ่มูลค่าเกือบร้อยล้าน เป็นมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลผู้ดีเก่า หนึ่งในทรัพย์สินที่ทำให้เขามีสถานภาพคนรวยที่น่าอิจฉา
“แล้วแม่เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเอ็งมานี่น่ะไอ้ทะเล”
คนนุ่งผ้าขาวผ้าผืนเดียวคาดคั้น แต่คนฟังหัวใจอุ่นวาบ แค่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากปากคนเป็นพ่อ ชายหนุ่มจากเมืองกรุงก็รู้สึกคุ้มค่ากับการดั้นด้นมาถึงนี่
ทะเล…
ชื่อนี้แม่ตั้งให้ เป็นชื่อเล่นที่บางคนบอกว่าเท่ บ้างก็ว่าน่าหลงใหล เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยลองถามแม่ครั้งหนึ่ง เป็นหนึ่งในน้อยครั้งที่แม่ยอมพูดถึงพ่อให้ฟัง
…
‘แม่เจอกับพ่อตอนไปเที่ยวทะเล…’
‘พ่อของแกเขาเกิดที่นั่น เขารักทะเล เป็นลูกทะเล’
…
แม้จะเป็นการพูดถึงสั้นๆ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนในตอนนั้น เขาไม่เคยลืม…
.
..
…
พ่อกับแม่มีเขาตอนอายุสิบเก้า ช่วงวัยแห่งความคึกคะนองและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันเป็นความผิดพลาด ท้องก่อนแต่งงาน มีลูกทั้งที่ยังเรียนไม่จบ ปัญหามากมายจากการรักสนุกทำให้คนสองคนไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกัน ครอบครัวฝั่งแม่ทั้งตั้งแง่และกีดกัน เหตุผลเดียวเท่านั้นที่พ่อไม่อาจผ่านเกณฑ์ลูกเขยในฝัน นั่นคือ…จน
พ่อเป็นคนใต้ เป็นลูกชายชาวประมงหาเช้ากินค่ำ ในขณะที่แม่เขาเป็นลูกสาวเศรษฐีเมืองกรุงมีหน้ามีตา ความแตกต่างนี้ทำให้เขาเกิดมาเป็นไอ้ลูกไม่มีพ่อในสายตาชาวบ้าน ดูเป็นเด็กบ้านแตกน่าเวทนา ทั้งที่ชีวิตของ ‘คุณทยากร’ แตกต่างจากคำว่าน่าสงสารมากมายนัก
อยากได้อะไรก็ย่อมได้… ไม่เคยมีคำว่าน้อยหน้า…
เช็คเงินสดระบุตัวเลขมากขึ้นทุกปีในวันคล้ายวันเกิด รางวัลพิเศษมีมาทุกครั้งที่เขาชนะการแข่งขันกีฬา รถยนต์หรูหราในวันที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้… แม่ให้เขาได้ทุกอย่าง ยกเว้นให้พ่อเข้ามาในชีวิต เส้นกั้นที่แน่นหนาของอำนาจเงินตราล้นฟ้ากับหน้าตาทางสังคมไฮโซของแม่ ทำให้เขาไม่เคยเจอถูกพามาเจอพ่อเลยสักครั้ง แม่ทำราวกับว่า ‘ลืม’ ทุกอดีตที่เคยผูกพัน ตัดขาดผู้ชายคนนั้น ฝังกลบทุกรอยด่างพร้อยของตระกูล ‘เศวตศิลป์’
ทว่าในความเป็นจริง กระบอกไม้ไผ่ไม่อาจปฏิสนธิแล้วเกิดเป็นคุณทยากรขึ้นมาเองได้ มนุษย์ทุกคนย่อมมีพ่อ เขาเองก็เช่นกัน นับวันคุณชายของบ้านก็ยิ่งอยากข้ามเส้นกั้นที่แม่ขีดไว้ เขาอยากรู้จัก อยากเข้าใจ อยากเรียนรู้นิสัยใจคอของผู้ให้กำเนิดอีกคน
“เฮ้ย! เหม่ออะไรวะ ข้าถามว่าแม่เอ็งไม่ว่าอะไรเรอะ ลูกชายสุดที่รักมาถึงนี่”
“คะ…ครับ ไม่ว่า” เสียเมื่อไหร่…
แม้จะเป็นผู้หญิงบอบบาง แต่ ‘คุณรตี’ ใจแข็งยิ่งกว่าเพชร
ในเมื่อตลอดมาตัดขาดเยื่อใย หากเขาไม่รบเร้าถามถึง ไม่เคยมีสักครั้งที่ชื่อพ่อจะหลุดออกมาจากปาก…หากไม่หนีมา คิดหรือว่าจะได้เห็นหน้าพ่อ
“แม่ยังบอกเลยนะครับว่าเที่ยวให้สนุก”
เที่ยว…
ข้ออ้างเดียวที่เขายกมาใช้ เพียงเอ่ยปากจะไปต่างจังหวัดกับเพื่อนสนิทที่มหา’ลัย แม่ก็พยักหน้าเปิดไฟเขียวง่ายดาย อาจเป็นเพราะเขาเป็นพวกชอบเดินทางเป็นทุนเดิม ทุกปิดเทอมทยากรจะท่องเที่ยวไปเรื่อยตามใจปรารถนา ใครจะนึกว่าลูกชายที่อยู่ในโอวาทแถมยังทำตัวดีมาตลอดชีวิตจะคิดการกบฏ แม่เองก็คงคาดไม่ถึงว่าต่างจังหวัดที่เขาว่า จะเป็นจังหวัดเดียวกับที่บิดาอาศัย
“งั้นก็ดีแล้ว แม่เอ็งจะได้ไม่ตามมาแหกอกข้า” คนตรงหน้าแค่นยิ้ม “ตอนได้ยินเสียงเอ็งโทรมาข้าล่ะตกใจฉิบหาย เออ! ข้าว่าจะถามเอ็งตั้งแต่เมื่อคืน แต่เห็นดึกตื่นแล้วก็เลยรอก่อน…เอ็งไปทำอีท่าไหนวะ ถึงมาโผล่ที่ท่าเรือดึกขนาดนั้น”
ทยากรยิ้มแห้งแล้งให้คนตรงหน้า เห็นสายตาคาดคั้นก็จำต้องเปิดปากเล่าเรื่องไปตามจริง
“ผมนั่งเครื่องบินมาลงสนามบินหาดใหญ่ครับ แล้วก็นั่งสองแถวเข้าในเมือง ต่อรถมั่วๆ อยู่หลายคันเหมือนกันกว่าจะเจอรถตู้มาสตูล” เล่ามาถึงตรงนี้…คนฟังก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น “พอมาถึงสตูลก็หลงทางอีก เสียเวลาไปหลายชั่วโมงจนมืดค่ำ สุดท้ายก็โบกรถชาวบ้านเขามาถึงท่าเรือนี่แหละครับ”
เป็นการเดินทางที่สาหัสเอาการสำหรับคนที่สุขสบายมาทั้งชีวิต ไปต่างประเทศมาก็หลายครั้ง ทุกครั้งไม่เคยมีปัญหา ทว่าลงมาภาคใต้ในประเทศตัวเองแค่นี้ กลับทำให้คนมั่นใจในตัวเองเหนื่อยล้าสุดกำลัง
ทยากรคิดสภาพตัวเองเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ตอนนั้นเขาไม่ต่างอะไรจากคนเร่ร่อน มีกระเป๋าสะพายใบเดียวเที่ยวตระเวรไปทั่วทั้งสตูล ถูกไล่ลงจากรถคันแล้วคันเล่าเพราะสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่นไม่รู้เรื่อง โชคดีที่มีรถยนต์ของนักท่องเที่ยวผ่านมา เมื่อทราบว่าเขาต้องการไปยังท่าเรือซึ่งเป็นทางผ่าน เจ้าของรถจึงกรุณาให้เขาอาศัยมาด้วย
“ถือว่าเอ็งยังทำบุญมาดี”
…ทั้งเสื้อผ้าและท่าทีเหมือนพวกมีอันจะกินอย่างนี้ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ถูกใครหลอกไปปล้นฆ่า
“แล้วรู้ได้ยังไงล่ะว่าข้าอยู่ที่นี่”
เจ้าของบ้านเอ่ยถาม ประหลาดใจนักที่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนตรงหน้ารู้จักถิ่นของเขา อยู่มาได้ตั้งนานเป็นสิบยี่สิบปีไม่มีวี่แววว่าจะติดต่อกัน แล้วอยู่ๆ ก็โผล่หัวมาเสียอย่างนั้น คนเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกมีเมียหรี่ตามอง พิจารณาใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวละเอียดผ่องแผ้วบ่งบอกความเป็น ‘ลูกผู้ดี’ดวงตาเรียวรีสดใสอย่างยิ่ง บุคลิกภายนอกดูเป็นเด็กไม่มีพิษมีภัย ทว่าภายในคงต้องใช้เวลาศึกษานิสัยกันอีกนาน
“ผม…จ้างนักสืบ…” ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาสารภาพ “ก่อนมาผมพยายามสืบจนรู้ว่าพ่อมีท่าเรือประมงอยู่ที่สตูล”
“หึ! แม่เอ็งไม่เคยเล่าอะไรถึงข้าเลยล่ะสิ”
“เล่าสิครับ!” คนเป็นลูกละล่ำละลักตอบด้วยกลัวว่าพ่อจะน้อยใจ ทว่าประโยคต่อจากนั้นฟังดูอ้อมแอ้มยังไงชอบกล “แม่เล่าว่าพ่อเจอกับแม่ได้ยังไง…เอ่อ…แล้วก็…”
แล้วก็…จบแค่นั้น…
คุณรตีไม่เคยพูดอะไรนอกเหนือไปจากนี้ ข้อมูลจากปากแม่มีน้อยยิ่งกว่าน้อยเมื่อเทียบกับนักสืบที่เขาจ้างมา ต้องขอบคุณรายงานในกระดาษพวกนั้นที่ทำให้รู้ว่า พ่อของเขาคือ ‘นายหัวชาญ’เจ้าของท่าเรือประมงรายใหญ่ หลังจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองตายไป คนๆ นี้ก็ไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหน สิ่งที่ทำให้ทยากรประหลาดใจนั่นคือ พ่อยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวใหม่อีกเลย…
“ผมมาถึงท่าเรือตอนเที่ยงคืน แต่มันดึกเกินไป เรือข้ามฟากไม่เหลือแล้ว เลยนั่งคุยกับนายท่าแถวนั้นฆ่าเวลา คุยไปคุยมาพอเขารู้ว่าจะมาหานายหัวชาญ เขาก็เลยรีบติดต่อให้” เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของนายหัวชาญที่นักสืบไม่ได้หามาให้ เขาก็ได้อานิสงค์จากนายท่าคนนั้น “จะว่าไป…คนที่นี่เขาดูรู้จักพ่อดีนะครับ”
ทยากรเบนความสนใจของพ่อมาที่เรื่องเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้อะไรเกี่ยวกับแม่มากนัก คงเป็นความรู้สึกกระดากใจเล็กๆ เมื่อพ่อเขายังครองตัวเป็นโสด แต่ฝ่ายคุณรตีไม่ได้ทำอย่างเดียวกัน แม่แต่งงานใหม่อีกสองครั้ง และการแต่งงานครั้งหลัง กับชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่าแม่เกือบสิบปีคนนั้น…เขาไม่เคยนึกชอบใจมันเลย
“หึ! ก็ลองไม่รู้จักสิวะ พวกมันโดนไล่ออกเรียงตัวแน่ ไอ้พวกท่าเรือมันคนของข้าทั้งนั้น”
สาเหตุที่นายท่าเรือประจำเวรดึกกระวีกระวาดเป็นธุระให้… ชายหนุ่มเข้าใจในทันที คนตรงหน้าคงมีอิทธิพลในย่านนี้พอตัว
ร่างสูงโปร่งมอง ‘ขาใหญ่’ ประจำเกาะนั่งหาวหวอดแถมใต้ตาดำคล้ำ ความรู้สึกผิดตีรวนขึ้นในอก
“ขอโทษนะครับ ทำให้พ่อเสียเวลานอนไปเยอะเลย”
เพราะเขามาดึก…
ดึกมาก…
ตีหนึ่งกว่าคงไม่มีเรือจ้างหน้าไหนแล่นมาส่ง แต่นายหัวชาญกลับออกเรือมาตามลำพังเพื่อมารับตัวเขาเดี๋ยวนั้น ทั้งที่จะปล่อยให้เขาตากยุงสักสามสี่ชั่วโมงจนกว่าจะเช้าก็ย่อมได้ เรือหาปลาลำเล็กมาเทียบท่าเรือในหนึ่งชั่วโมงหลังจากเขาโทรไป อาศัยเพียงแสงไฟจากแบตเตอรี่และความชำนาญทาง มารับ…ทั้งที่รู้ว่าเอาเรือออกตอนกลางคืนแสนอันตราย
ความตั้งใจแรกของเขาก็แค่อยากเซอร์ไพร้ส…
คิดภาพลูกชายที่ไม่เคยพบหน้ามาปรากฏตัวให้เห็นหน้าประตูบ้าน คงเป็นอะไรที่ทำให้นายหัวชาญแทบช็อก ใครจะไปนึกว่าความสามารถในการเดินทางของเขามันจะติดลบ จากเซอร์ไพร้สเลยกลายเป็นภาระ ลำบากอีกฝ่ายต้องมาพลอยอดนอนตอนกลางดึก
“จะต้องมาขอทงขอโทษอะไร ข้าเป็นพ่อเอ็งนะโว้ย ขับเรือไปรับแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอก”
คนพูดเกาหน้าเกาหลัง โบกไม้โบกมือว่าไม่ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้เองที่สองตาของผู้มาเยือนลอบเก็บทุกรายละเอียดของเจ้าถิ่นจนขึ้นใจ
รูปลักษณ์ภายนอกของนายหัวชาญไม่ได้ต่างอะไรกับชาวบ้านคนอื่นแถบนี้ พ่อผิวคล้ำ หน้าตาดุดันน่าเกรงขาม ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หนวดเคราเขียวครึ้มอย่างคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง ในขณะที่เขาแม้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าร่มดูเรียบง่าย ทว่าของใช้ทุกชิ้นบนร่างกายล้วนแต่เป็นแบรนด์มีราคา ดูเป็นพ่อลูกที่ราวกับหลุดมาจากคนละโลก
“แล้วนี่เอ็งคิดจะมาอยู่นานเท่าไหร่ล่ะ” เจ้าของบ้านถาม มองใบหน้าขยันยิ้ม แล้วมองสองนิ้วที่ชูขึ้นมา “สองวัน?”
ไอ้หนุ่มเมืองกรุงส่ายหัวยิก นายหัวชาญจึงพยักหน้าตีความตามเข้าใจ
“เออ…ดีๆ สองวันมันเที่ยวไม่ทั่วหรอกเว้ย สองอาทิตย์นั่นแหละกำลังดี”
“ผมหมายถึงสองเดือนครับ” ทยากรยิ้มกว้าง บอกความตั้งใจของตัวเองหมดเปลือก “พอดีผมเรียนจบแล้วเหลือแค่รอรับปริญญา เลยอยู่ได้ยาวๆ”
ภาระทางการศึกษาในระดับปริญญาตรีจบลง เขาส่งโปรเจกต์สุดท้ายและผ่านพ้นมาด้วยคะแนนยอดเยี่ยม ขณะนี้ทยากรจึงว่าง…ว่างเสียจนมีเวลาเตรียมการบุกมาถึงบ้านบิดา
ทว่าอีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยแววตาอ่านไม่ออก…
นายหัวชาญไม่ตอบรับกับจำนวนวันที่เขาระบุไป ชายหนุ่มจึงเริ่มคิดได้
“ถ้า…สองเดือนมันนานไป งั้นผมขอรบกวนแค่สองอาทิตย์อย่างที่ว่าก็ได้ครับ จะได้ไม่เปลืองข้าวสุกบ้านพ่อ”
การมีเขามาอาศัยด้วย รายจ่ายของบ้านคงต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เราสองคนพ่อลูกเหมือนเพิ่งเริ่มต้นทำความรู้จัก จะว่าไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า ใครที่ไหนจะอยากให้มาอยู่บ้านเขานานขนาดนั้น
“เอ็งนี่มันคิดเองเออเอง” เจ้าของบ้านส่ายหัวระอา หากสายตาอ่อนแสงลงชั่วขณะ “จะอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ไปเถอะ อยากจะอยู่กันจนแก่ตายเป็นผีเฝ้าเกาะก็ไม่มีใครว่า”
ก็แค่แปลกใจ…
แปลกที่มันตั้งใจมาอยู่นานเอาเรื่อง…กะอีแค่ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูมันสักคนจะหมดสักเท่าไหร่กัน คนเป็นเจ้าคนนายคน มีเรือเป็นสิบ มีลูกน้องเป็นร้อย มีหรือจะขัดสนเรื่องเงินเรื่องทองอย่างที่มันคิด ต่อให้ไอ้เด็กนี่ตั้งใจมาอยู่ตลอดชีวิต นายหัวชาญก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหา
“ขอบคุณครับพ่อ”
นายหัวมองลูกชายที่ยกมือไหว้ปลกๆ รอยยิ้มมุมปากปรากฏก่อนจางหาย มือซ้ายทำท่าจะเอื้อมไปขยี้หัว แต่ความไม่คุ้นชินกันทำให้ชักมือกลับ จากนั้นจึงเสมองพื้นมองผนังไปเรื่อยแก้เก้อ
“อยู่ที่นี่มันลำบาก กลัวก็แต่ว่าผู้ดีตีนแดงอย่างเอ็งจะเผ่นกลับตั้งแต่วันแรกน่ะสิไม่ว่า”
“ไม่หรอกครับ ความจริงผมอยากมาช่วยงาน…” คำพูดนั้นทำเอาคนกำลังจะเอื้อมหยิบน้ำมากลั้วคออีกขวดชะงัก “ให้ผมทำงานที่ท่าเรือของพ่อก็ได้นะครับ ถือว่าทำงานแลกค่าที่พักกับค่าอาหารก็ได้”
“เอ็งเนี่ยนะ” นายหัวชาญหัวเราะลั่น “เป็นคุณชายอยู่วังดีๆ ไม่ชอบ เสือกอยากมาเป็นจับกัง”
“คุณชายที่ไหนกัน อย่าลืมสิครับผมมีเลือดชาวเลอยู่ตั้งครึ่ง”
เห็นความกระตือรือร้นในดวงตาสดใส นายหัวแห่งท่าเรือใหญ่ก็เหนื่อยใจกับมันนัก เขากวาดตามองสารรูปคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า…มองผิวขาวจัดตัดกับสีผิวของตน มองเส้นผมที่จัดทรงมาดี…
แค่นี้ก็ทำให้ต้องส่ายหน้า
“สารรูปอย่างเอ็งไปทำงานอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
…ขืนเอามันไปไว้ในดงจับกัง คงประหนึ่งแกะขาวในหมู่อีกาตัวดำๆ เท่านั้นเอง
“ทำไมล่ะครับ”
อีกฝ่ายนิ่วหน้า…ดูมันไม่ได้สำเหนียกเลยว่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแค่ไหน
“งานที่ท่าเรือมันงานแบกหาม ตากแดดตากลมทั้งวัน เอ็งจะป่วยตายไปซะเปล่าๆ”
“ผมแข็งแรงนะครับ ไม่ป่วยง่ายๆ หรอก”
เพราะเล่นกีฬามาหลายชนิดตั้งแต่เรียนไฮสกูลยันเข้ามหา’ลัย ถึงได้มั่นใจว่าตัวเอง ‘บึกบึน’ พอสมควร
คนเป็นลูกนั่งนิ่ง ไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายมองเขาเป็นคุณหนูผู้อ่อนโยนอ่อนไหว พ่อเห็นเขาเป็นนกในกรงทองที่แม่เลี้ยงมาชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทยากรไม่ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าบ่อยครั้ง…เขาแอบแหกกรงออกมาโลดโผนอยู่เสมอ
“ถ้าอยากทำงานจริงๆ มาช่วยข้าทำเอกสาร ทำบัญชีอะไรเทือกๆ นี้ดีกว่ามั้ง”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เก่งตัวเลขเท่าไหร่” …ใจมันอยากออกไปผจญภัย งานในร่มไร้ความท้าทายจึงไม่น่าสนใจสักนิด
“เอ็งเรียนวิศวะแล้วจะบอกว่าโง่คำนวณได้ยังไงวะ”
คนฟังชะงัก จับสัญญาณความ ‘แปลก’ บางอย่างได้
“พ่อรู้ด้วยเหรอครับว่าผมเรียนอะไร”
“ข้าก็…ก็เดาๆ ไปงั้นแหละโว้ย ผู้ชายมันก็ต้องวิศวะสิถึงจะเท่”
หนุ่มเมืองกรุงหรี่ตามองคู่สนทนา สีหน้าท่าทีไม่ได้เปลี่ยนไป แม้มือไม้จะเกาหัวเกาตัวอยู่ไม่สุขจนผิดวิสัย แต่ที่นายหัวชาญยกมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
“ก็ถูกของพ่อล่ะครับ ผมเรียนวิศวะเครื่องกล…” คนเป็นลูกยอมปัดความสงสัยทิ้ง “จบเครื่องกลมาทั้งที…พ่อไม่คิดว่าผมเหมาะจะไปอยู่กับเครื่องจักรในเรือ มากกว่านั่งงมตัวเลขในกระดาษหรอกเหรอครับ”
มันฉลาด…
นายหัวชาญฟังคำพูดหลอกล่อแถมยังขอต่อรองของไอ้เด็กหัวแข็ง กระตุกยิ้มเมื่อเห็นแววตาร้อนวิชามองตรงมาอย่างไม่ปิดบัง
“เอ็งอยากไปเล่นเป็นนายช่างในเรือข้าว่างั้น?”
“ก็แล้วแต่นายหัวจะกรุณาเถอะครับ ผมเป็นคนว่างงานมาของานทำ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง”
“หึ…” คนเป็นพ่อหัวเราะในลำคออย่างถูกใจ “ได้ ข้าจะให้งานเอ็งทำ”
“คงไม่ใช่ทำบัญชีนะครับ”
“เออ! ไม่ใช่” เจ้าของกิจการใหญ่ทั้งฉุนทั้งขำ ดูมันจะไม่ชอบตัวเลขเอามากๆ “อยากไปทำงานท่าเรือนักก็เอา ข้าอนุญาต”
“ขอบคุณครับ”
พอทุกอย่างได้ดั่งใจ ไอ้ลูกชายก็ยิ้มร่า
ทยากรมองพ่อแววตาเป็นประกาย ในหัวคิดไปถึงวันที่จะได้ออกเรือลำใหญ่ไปกลางทะเลอันเวิ้งว้าง เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต และมันน่าสนุกจนนึกอยากบุกไปท่าเรือ เริ่มงานมันเสียแต่วันนี้เลย
“แต่ข้ามีข้อแม้”
รอยยิ้มหุบลงฉับ เหมือนสวิตซ์ไฟถูกสับลงกะทันหัน
“ข้อแม้อะไรครับ”
“ข้าไม่ให้เอ็งออกทะเล”
“พ่อ!”
ทยากรโอดครวญ รู้สึกเหมือนฝันสลาย เป็นอารมณ์คล้ายถูกระงับฉากไคลแม็กซ์ของหนังสุดโปรดต่อหน้าต่อตา ขณะที่ขาใหญ่ประจำเกาะส่ายหน้า
มันไม่เคยรู้ว่าการออกเรือหาปลาไกลๆ อันตรายแค่ไหน…
กลางทะเลกว้างใหญ่ เรือลำเดียวลอยคว้าง ชีวิตฝากไว้กับคลื่นลม เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ หากเคราะห์ร้ายเกิดอะไรขึ้นกับมัน เขาจะมีหน้าไปบอกกับ ‘เมียเก่า’ ว่าอย่างไร
“ไอ้ทะเล…การจะออกเรือแต่ละครั้ง ไม่มีใครเขาเอาคนไม่ประสาอย่างเอ็งติดไปให้เป็นภาระหรอกนะ” เสียงดุนั้นอธิบาย “เอ็งไม่ใช่ลูกทะเล ไม่รู้จักทะเลเลยด้วยซ้ำ แถมยังเป็นคนต่างถิ่น ชาวบ้านแถวนี้ไม่คุ้นหน้า ยิ่งเอ็งอยากจะเป็นนายช่างของเรือใหญ่ ของอย่างนี้มันต้องใช้ประสบการณ์ คนเป็นนายช่าง ใครๆ มันก็ต้องนับหน้าถือตา อยู่ๆ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเอ็งเดินไปสั่งโน่นสั่งนี่ให้เขาทำตาม คิดหรือว่าคนงานที่ไหนมันจะเชื่อฟัง”
แม้ช่วงวัยจะส่งให้ดื้อรั้น แถมถูกเลี้ยงดูมาแบบเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง แต่พื้นฐานนิสัยของทยากรเป็นคนมีเหตุผล เขารับฟังคำพูดของพ่อแล้วคิดตาม เมื่อเห็นจริงดังว่า ท่าทีแข็งกระด้างเอาแต่ใจจึงเบาลง
“แล้วผมต้องทำยังไง”
นายหัวชาญมองใบหน้าของคนที่เอ่ยปากถามเขาอย่างจริงจัง เขาชอบแววตาของมันเวลาที่มุ่งมั่นระคนดื้อรั้นอย่างนี้
“ข้ามีทางเลือกให้เอ็งสองทาง ทางแรก…ข้าจะแนะนำเอ็งให้พวกคนงานมันรู้จักในฐานะลูกชาย เอ็งจะสบายเชียวล่ะ คงจะมีไอ้พวกที่มันเกรงใจข้าจนเผื่อแผ่มาเชื่อฟังเอ็งด้วย”
ก็พูดให้เข้าใจง่ายๆ เถอะว่า ‘อาศัยบารมี’
ไอ้หนุ่มเมืองกรุงกัดริมฝีปากตัวเองไว้ บังคับไม่ให้มันกระตุกยิ้มเหยียด เขาไม่ได้โง่ที่จะตีความไม่ออกว่านายหัวชาญกำลังปรามาสกันอย่างร้ายกาจ
ไม่ต้องเหนื่อย ไม่กดดัน ไม่ต้องพยายาม…
แค่มีตำแหน่งเป็นลูกชายนายหัวชาญ ทุกอย่างสบาย…แต่ความท้าทายไม่มี!
“ทางที่สองล่ะครับ” ทยากรถามเสียงเย็น ทว่าอารมณ์ไม่ยักจะเย็นตาม
“เอ็งต้องเข้าไปเป็นคนงานตามขั้นตอนเหมือนคนอื่นๆ เริ่มต้นจากงานระดับล่างสุด ไต่เต้าขึ้นมาให้ได้ ทำให้คนอื่นยอมรับด้วยตัวของเอ็งเอง" ดวงตาดุดันจ้องมองอีกฝ่าย จงใจท้าทายและลองภูมิ"ข้าให้เอ็งเลือก จะเอาอย่างไหน”
“อยากให้ผมเลือกอะไรล่ะครับ”
ไอ้เด็กนั่นย้อนถามกลับ ความจองหองของมันมีมากพอที่จะทำให้มันกล้า…ตลอดเวลาที่ต่อบทสนทนา ไม่มีสักนาทีที่มันจะหลบตา
นายหัวชาญจ้องมองรอยยิ้มเย็นนั้น เขารู้ว่ามันมีคำตอบอยู่ในใจ ถ้าเลือดของเขากระจายเข้มข้นในตัวมัน คำตอบของมันจะไม่มีวันเป็นอื่น
“ผมเลือกทางที่สอง”
“ดี…”
คราวนี้เองที่เจ้าของบ้านยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ไม่มีข้อสงสัยสักนิดว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่ลูกเขา
ไอ้ความหยิ่งผยองชนิดหัวชนฝา…ถอดแบบกันมาไม่มีผิดเพี้ยน
“พรุ่งนี้เอ็งเตรียมตัวไปเป็นคนงาน”
…
แล้วข้าจะสอนเอ็งทุกอย่าง…
ทำทุกทางให้เอ็งเป็นลูกน้ำเค็มเต็มตัว
เป็นลูกชายนายหัวแห่งท่าเรือใหญ่…
…
ให้สมกับที่ชื่อของเอ็งคือ ‘ไอ้ทะเล’
100%
To be continue ~
------
อัพแล่ววว พยายามทำตามสัญญาว่าจะอัพทุกวัน 5555
ขอบคุณคอมเม้นต์+Fav ทุกคนเลยค่ะ เป็นกำลังใจที่ดีเลย
มีคำผิดหรืออ่านสะดุดตรงไหน บอกกันได้นะคะ
มาช่วยกันทำให้นิยายเรื่องนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเนอะ
ปล. ตังเก's world ของจริงคงเริ่มที่ตอนหน้าล่ะนะ ^^
Sea Spec : บทที่ 2 : ชาญทะเล [100%]
บทที่ 2
ชาญทะเล
ท่าเรือบนเกาะใหญ่โตกว่าที่คิด…
คนกรุงเทพฯ มองเรือหลายลำที่จอดเทียบท่า ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเมื่อเห็นกิจการของพ่อไม่ใช่แค่ ‘พออยู่ได้’ อย่างที่เจ้าตัวเคยบอกเอาไว้ เรือลำใหญ่…แม้ไม่โอ่อ่าเท่าเรือเฟอร์รี่ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาที่เขาเคยนั่ง แต่ทุกลำมีเครื่องไม้เครื่องมือครบ แถมอยู่ในสภาพเกือบใหม่ บ่งบอกสถานะของเรือว่าได้รับการดูแลและตรวจสอบคุณภาพสม่ำเสมอ ตัวอักษรสีทองตัดขอบดำประกอบเป็นคำว่า ‘ชาญทะเล’ ปรากฏที่หัวเรือทั้งสองข้าง
ทยากรมองชื่อเรือทุกลำของพ่อด้วยหัวใจพองฟู ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือว่าคนตั้งชื่อจงใจ ‘ทะเล’ ที่ตามหลังคำว่าชาญจะหมายถึงทะเลธรรมดาหรือว่าตัวเขา…สุดจะเดาใจนายหัวคนนี้ได้ ลูกในไส้แต่ไม่เคยใกล้ชิดพ่อได้แต่ถอนหายใจ บอกตัวเองว่าอย่าสำคัญตนมากเกินไป กระนั้นความดีใจก็นำหน้าไปแล้วหลายช่วงตัว
“โน่น…ลำใหญ่ที่เอ็งเห็น” คนเดินนำชี้มือไปให้มองตาม ชายหนุ่มนับเรือที่ว่านั่นได้ถึงสาม “เรือพวกนี้เอาไว้ออกทะเลไกลๆ ข้ามีอยู่ห้าลำ ออกทะเลไปซะสองตั้งแต่ก่อนเอ็งจะมา”
นายหัวชาญอธิบาย สายตาสังเกตลูกชายอยู่ตลอด เห็นอาการมองซ้ายมองขวาเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นก็นึกขำ “เดี๋ยวมันเข้าฝั่งมาเมื่อไหร่ เอ็งจะได้กินกุ้งกินปลาตัวใหญ่ๆ ยิ่งหมึกเนี่ย ตัวเท่าหัวเอ็งเชียวล่ะ”
เจ้าของเรือคุยโวมาอย่างนั้นคนฟังจึงยิ้มรับ
ทยากรสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงเลผ้าฝ้ายของนายหัวชาญ เป็นเครื่องแบบพระราชทานจากพ่อทั้งสิ้น เจ้าถิ่นเอาเสื้อผ้าพวกนี้โยนให้พร้อมให้เหตุผลว่า เสื้อผ้าของเขาทุกชิ้นดูแพงเกินไป พ่อไม่ต้องการให้เขาดูแปลกแยกจากคนงานคนอื่น คิดสภาพตัวเองใส่เสื้อเชิ้ตอามานี่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่ากุลีจับกัง…นึกขอบคุณคนมากประสบการณ์ขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ขอบคุณที่ไม่ทำให้เขาเป็นตัวประหลาดตั้งแต่วันแรกของการมาเป็นคนงาน
ชายหนุ่มก้มมองรองเท้าแตะหูหนีบสีขาวฟ้า…หัวเราะในลำคอกับมันอย่างไม่มีเหตุผล ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเดินด้วยรองเท้าแบบนี้มาก่อน จนเมื่อลองใส่จึงรู้ว่าสบายกว่ารองเท้าผ้าใบมาก
“แล้วเรือสองลำนั้นจะเข้ามาเมื่อไหร่ครับ”เขาถามขณะเดินตามไปติดๆ ท่าเรือใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลลิบ ชัดเจนขึ้นทุกทีเมื่อสองเท้าเคลื่อนเข้าใกล้
“คงอีกสักสองสามวัน”
“พะ…เอ้อ!”
ลืมเสียสนิท…เขาจะหลุดปากเรียก ‘พ่อ’ ออกมาไม่ได้
เมื่อตัดสินใจเลือก ‘ทางที่สอง’อย่างลูกผู้ชายสองเดือนที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เขาจึงปฏิญาณว่าจะเก็บงำความสัมพันธ์ของเขากับพ่อไว้เป็นความลับ
“นายหัวครับ”
“ว่าไง”
“ลำอื่นมันเสียเหรอครับ ทำไมจอดไว้เฉยๆ”
เขาหมายถึงเรือไม้ลำเล็กติดเครื่องยนต์ที่จอดเรียงเป็นแพ แค่กวาดสายตามองคร่าวๆ ก็รู้เลยว่ามีจำนวนกว่าสิบลำ
“ช่วงนี้มรสุมเข้า ทางการประกาศห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง พวกมันเลยต้องจอดแช่อย่างนี้ล่ะ”
“แล้วแบบนี้เราไม่เสียรายได้แย่เหรอ” ทยากรมุ่นหัวคิ้ว มองเห็นหนทางสูญเสียทรัพย์สินของเจ้าของกิจการน่าแปลกที่นายหัวชาญดูไม่มีความกังวลใด
“ถึงคราวจะเสียมันก็ต้องยอมเสีย” คนเดินนำหน้าตอบแม้ไม่ได้หันกลับมามอง “ทุกปีก็จะเป็นอย่างนี้ ปีหนึ่งมีหลายช่วงที่ต้องงดออกทะเลไป แต่เมื่อไหร่ที่ฟ้าโปร่ง ท้องทะเลเป็นใจ รายได้ก็ไหลเข้ามามากอยู่”
ขอบเขตน่านน้ำ มรสุมคลื่นลม ฤดูวางไข่… และอีกหลายปัจจัยที่กำหนดชีวิตความเป็นไปของชาวประมง ลูกทะเลที่แท้จริงจะรู้ว่า เมื่อไหร่ ‘ทำได้’ และเมื่อไหร่ ‘ไม่ได้’ โดยสัญชาติญาณ
นายหัวชาญไม่หวังให้ลูกชายคนเดียวเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดในตอนนี้ คนกรุงเทพฯ ที่โตมาเห็นแต่ตึก เดินเหินบนถนนคอนกรีต วันดีคืนดีต้องมามีชีวิตอยู่กับน้ำและฟ้า ทางเดินทุกก้าวมีแต่ผืนทรายใต้ฝ่าเท้า ให้เก่งแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักหน่อย…ค่อยเป็นค่อยไป ยัดเยียดทุกอย่างให้มันคราวเดียวเดี๋ยวจะหัวแตกตายไปเสียเปล่าๆ
“รู้แบบนี้ผมน่าจะทำบัญชี” เสียงคนด้านหลังบ่นเบาๆ “จะได้รู้ว่านายหัวชาญมีรายได้มหาศาลแค่ไหน”
ไอ้คนพูดทำหน้าทะเล้น เห็นรอยยิ้มขี้เล่น คนเป็นพ่อก็นึกอยากเขกกะโหลกมันสักครั้ง
“หึ อยากดูก็ได้ข้าก็ไม่ได้หวง”
“ไม่กลัวผมยักยอกเอาหรือไง”
“คนอย่างนายหัวชาญไม่ให้ใครมาปล้นง่ายๆ หรอกโว้ย”
มันหัวเราะ ไอ้เด็กอารมณ์ดีดูจะถูกอกถูกใจที่แกล้งพูดกวนตีนพ่อมันได้ ว่ากันตามจริงทรัพย์สินของแม่มันมีมากกว่าที่เขาหามาทั้งชีวิตไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ หน้าตาทางสังคม และเงินตรา…ต่อให้ชาญทะเลถูกมองว่า ‘รวยที่สุด’ ในเกาะนี้ ก็ยังไม่ได้ขี้เล็บของตระกูลแม่มัน
“เอ้า! ถึงแล้ว” คนนำทางหยุดเดินเมื่อถึงที่หมาย นายหัวชาญกวาดสายตามองอาณาจักรของตน มองสิ่งที่เขาสร้างมันมาด้วยเลือดเนื้อ ด้วยสองมือ และจิตวิญญาณ วันนี้โลกของเขาจะมีโอกาสเปิดประตูต้อนรับ ‘คนสำคัญ’ ซึ่งไม่เคยคาดฝันว่ามันจะลดตัวลงมา…
“นี่แหละ ท่าเรือหลักของชาญทะเล”
ทยากรรับรู้ถึงอะดรีนาลีนในร่างกายที่ปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ ภาพตรงหน้าคือแพไม้ขนาดใหญ่สร้างยื่นออกไปในทะเล มีคนงานขนเข่งแบกลัง เดินสลับสับเปลี่ยนกันไม่ขาดสาย ท่าเรือขนาดใหญ่กินพื้นที่กว้างขวางสมฐานะขาใหญ่ประจำเกาะ ชายหนุ่มไล่มองเรือเล็กมากมาย…มากกว่าที่เขาเห็นเมื่อตอนเดินมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พวกมันจอดเทียบท่าเป็นระเบียบ และเกือบทุกลำเป็นของชาญทะเล
“เรือเล็กของเรามีอยู่สิบแปดลำ ส่วนฝั่งนั้น…ที่เอ็งเห็นอีกสิบกว่าลำเป็นของชาวบ้านแถวนี้แต่มาแชร์ระบบสหกรณ์ร่วมกับเรา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป เวลาเราขาดคนก็ไหว้วานให้มาช่วยกันได้ บนเกาะนี้เขาอยู่กันด้วยน้ำใจมากกว่าน้ำเงิน…”
เจ้าของกิจการใหญ่อธิบายให้ลูกชายฟัง ขณะที่หนุ่มเมืองกรุงรับข้อมูลพวกนั้นเข้าสมองด้วยความชื่นชม ทยากรมองไปรอบด้าน เห็นคนงานหลายคนหันมามองเขากับพ่อเป็นระยะจึงคิดว่าได้เวลาอันสมควร
“ผมต้องเริ่มทำอะไรครับ”
“คนใหม่เข้ามาแรกๆ ส่วนมากก็โน่น…แบกปลาลงเรือ”
คนถามมองตามมือที่ชี้ไปยังกลุ่มคนงานซึ่งทำหน้าที่แบกหาม “สองลำนั่นจะเอาไปส่งที่ตลาดปลาบนฝั่ง…ตรงท่าเรือที่เอ็งมาคืนที่ข้าไปรับนั่นแหละ ส่วนอีกลำจะไปไกลกว่านั้น บางครั้งเราก็ขึ้นไปถึงประจวบฯ”
“เคยส่งไปถึงกรุงเทพฯ บ้างไหมครับ”
“เคย แต่ไม่คุ้มค่าน้ำมัน หลังๆ เลยส่งไกลแค่ประจวบฯ แล้วก็มีนายหน้ามารับไปอีกที”
เพราะอย่างนี้อาหารทะเลสดของภัตตาคารในเมืองหลวงถึงได้แพงนัก บวกราคาค่าขนส่ง ค่าต้นทุนกันไปไม่รู้ตั้งกี่ทอด
“ให้ผมเริ่มงานเลยไหม” คนพูดตาเป็นประกาย รู้สึกท้าทายกับการจะได้ใช้พละกำลังวัยหนุ่ม
“ใจเย็น…เอ็งไม่ต้องลงไปแบกของหนักๆ กับเขาหรอกไอ้ทะเล”
“อ้าว! แล้วจะให้ผมทำอะไร”
“คัดปลา”
“หา?”
“ข้าให้เอ็งไปเริ่มที่คัดปลา โน่น…พวกตรงโน้นมันกำลังทำ” พ่อพยักพเยิดไปทางซ้าย ตรงนั้น…ทั้งผู้หญิงผู้ชายกำลังคัดปลาในเข่งใหญ่แยกใส่กระบะพลาสติกของใครของมัน ความเร็วของมือไม้ที่ทำงานนั้น ทยากรมองไม่ทันว่าคนพวกนี้คัดปลากันด้วยหลักเกณฑ์อะไร “เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งไปโยนไว้แถวนั้น…เอ็งก็ไปดูว่าเขาคัดกุ้งคัดปลากันยังงะ…”
ตูม!!
คำพูดของพ่อถูกรบกวนด้วยเสียงกัมปนาท…ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ สะดุ้งเฮือก แต่แล้วก็อุ่นใจเมื่อมีมือของคนข้างกายจับแขนเขาไว้คล้ายให้การปกป้อง ทยากรงุนงง มองความวุ่นวายผิดกับเมื่อครู่ราวนรกกับสวรรค์ หูได้ยินเสียงร้องแลกแหกกระเชอของพวกคนงาน แต่ละคนละทิ้งการทิ้งงานพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น ท่าเรือที่เคยสงบเข้าสู่สภาวะคับขัน ระหว่างความโกลาหลนั้น ร่างเล็กขะมุกขะมอมก็วิ่งผ่านหน้าเขาและนายหัวชาญพอดี
“เฮ้ย…ไอ้มืด!” พ่อดึงคอเสื้อเด็กนั่นไว้ ดูจากสรีระร่างกายผ่ายผอมเก้งก้าง คงยังเป็นวัยรุ่น…ยังไม่พ้นคำนำหน้าว่าเด็กชายแน่นอน “บอกกูมา มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
นายหัวชาญตะโกนถาม ‘ไอ้มืด’ ลูกหลานคนงานที่เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนเมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นว่าใครเป็นคนดึงไว้ มันจึงหยุดดิ้นรน
“ละ…ลุง…ลุงนาย!” สายตามันดีใจล้นพ้น “เรือระเบิดจ้ะลุงนาย ไฟลุกพรึ่บเลยจ้ะ”
ไอ้มืดรีบฟ้อง ใบหน้าดำๆ ดูตื่นกลัว แต่เมื่อมันเห็นนายตัวยืนอยู่ด้วย ความกลัวก็ลดลงเกือบครึ่ง
“เวรเอ๊ย!แล้วมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”
“พี่ชาติหัวแตกจ้ะ ตอนระเบิดพี่ชาติกับลุงอินอยู่ในเรือข้างๆ กัน กำลังคุมคนขนปลาลงเรือกันอยู่ พอเสียงดังตู้ม เศษอะไรไม่รู้กระเด็นไปโดนหัวพี่ชาติ”
ความเครียดขึงยึดพื้นที่หมดทั้งสมองของนายหัวชาญ
“ไอ้ที่ระเบิดน่ะลำไหน”
“ลูกรักลุงนายเลยจ้ะ” คนพูดสีหน้าโศกสลด “ควันงี้โขมงท่วมเรือเลย”
ได้ยินคำว่า ‘ลูกรัก’ นายหัวชาญก็แทบทะยานไปจากตรงนี้ ในนาทีที่ทยากรคิดว่าจะถูกทิ้งไว้ เสียงตะโกนเปี่ยมอำนาจก็ตะโกนสั่งการเฉียบขาด
“พวกมึง! หยุดแตกตื่นได้แล้ว” คำเดียว…ประหนึ่งประกาศิต
ทุกชีวิตที่แตกตื่นหยุดฟังคนเป็นนาย หลายคนยังตกใจจนตัวสั่น ทว่าไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งนายหัวชาญ “แค่เครื่องยนต์เรือมันเสีย ไม่ต้องตกใจ กลับไปทำงานของตัวเอง”
สถานการณ์ค่อยดีขึ้นตามลำดับอย่างน้อยก็ไม่เห็นภาพฝูงคนวิ่งหนีตายอีก
ร่างสูงใหญ่ของชายวัยสี่สิบหันมามองคนงานใหม่ เห็นมันยังหน้าซีด อยู่ในอาการตกใจก็ตัดสินใจไม่ให้มันตามมา
“ไอ้ทะเล เอ็งรอนี่!” จากนั้นจึงหันไปสั่งอีกคน “ไอ้มืด! มึงอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนมัน”
“จ๊ะลุงนาย”ไอ้เด็กดำรับคำ ร่างสูงใหญ่ของนายหัวชาญจึงค่อยๆ ห่างออกไป
ทยากรชะเง้อมองตามหลังพ่อ ทันเห็นแว็บเดียวว่าอีกฝ่ายกระโดดลงเรือไม้ลำไหนสักลำ ชายหนุ่มมองไม่ชัดเนื่องจากควันโขมงท่วมลำเรืออย่างที่คนส่งข่าวบอกจริงๆ
“พี่จ๊ะ…” แรงสะกิดยุกยิกที่หัวไหล่ทำให้ต้องหันกลับไปมอง “พี่มาใหม่เหรอ”
แววตาซื่อ เหมือนลูกหมาเชื่องๆ ทำให้ชายหนุ่มยอมมอบมิตรภาพแต่โดยดี
“อืม พี่มาจากกรุงเทพฯ มาขอนายหัวทำงานที่นี่”
“ฮ้าาา~ มาจากกรุงเทพฯ” อุทานเสร็จก็จ้องหน้าอีกฝ่ายเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด “แล้วคนกรุงเทพฯ ตัวขาวจั๊วะ จะมาตากแดดให้ตัวดำทำไม”
ไอ้มืดไม่เข้าใจ ใครๆ ก็บอกว่าเมืองกรุงอยู่แล้วสบ๊ายสบาย พี่สาวที่รู้จักกันเคยไปเที่ยวที่นั่น กลับมาก็มาเล่าอวดให้ฟังยกใหญ่ กรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้า มีรถไฟใต้ดิน มีห้างติดแอร์เยอะแยะ แล้วทำไมหนอคนๆ นี้ถึงต้องดั้นด้นมาอยู่ที่นี่ มันอยู่มาตั้งแต่เกิดยันป่านนี้ เกาะนี่ไม่เห็นมีอะไรเทียบกรุงเทพฯ ได้สักนิด
ทยากรไม่ตอบคำถาม เขาสนใจกับความเป็นไปรอบตัวมากกว่า จนเมื่ออีกฝ่ายพยายามชวนเขาคุยอีกหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงหันไปตอบรับ
“แล้วพี่ชื่ออะไรจ๊ะ”
“พี่ชื่อทะเล”
อ๋อ…มิน่าล่ะ เพราะชื่อทะเลเลยต้องหาทางกลับมาสู่ทะเล
ไอ้มืดพยักหน้าหงึกหงึก พอใจกับไอเดียของมัน
“ฉันชื่อเมฆจ้ะ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อนี้เลย”คนพูดโอดครวญแล้วเปลี่ยนเป็นฟึดฟัด “เรียกแต่ไอ้มืดๆ อยู่นั่นแหละ เรียกกันอย่างนั้นหมดทั้งเกาะ ฮึ่ย!”
เหลียวมองผิวคล้ำดำเมี่ยม จวนจะแยกไม่ออกว่าอันสีผิวอันไหนสีตา ทยากรไม่สงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนใหม่ต่างวัย ก่อนเอ่ยปากเอาใจ
“งั้นพี่จะเรียกเมฆเอง ไม่ต้องน้อยใจ”
อืม…เมฆ…
ก็คงจะเป็น ‘เมฆฝน’ ล่ะมั้ง ตั้งเค้ามืดครึ้มเสียขนาดนี้
“ขอบคุณจ้ะ พี่ใจดีจัง” ไอ้เมฆมองคนเดียวในเกาะที่ยอมเรียกชื่อจริงของมันด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ ยิ่งเพิ่งพิศ พินิจพิเคราะห์รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย ไอ้มืดยิ่งบังเกิดความสงสัย “พี่เป็นดารา มาถ่ายหนังหรือเปล่าจ๊ะ”
พอนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นได้ คนขี้สงสัยก็ทำตาถลน เจ้าเด็กดำมองคนแปลกหน้าของเกาะด้วยดวงตาเป็นประกาย มองซ้ายมองขวาหากระดาษสักแผ่น หากอีกฝ่ายตอบรับว่าใช่ จะได้ขอลายเซ็นไปให้ยายที่บ้าน เพราะแกชอบดูละคร
“เปล่า พี่เป็นคนธรรมดา” ทยากรหัวเราะ นึกเอ็นดูเด็กตรงหน้า ได้พูดคุยกับเจ้านี่ทำให้คลายความกังวลลงชายหนุ่มเชื่อว่านายหัวชาญคงจัดการเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ได้ ทุกอย่างคงเริ่มกลับมาดี
มันจะดีมากกว่านี้…
หากไม่มีอาฟเตอร์ช็อกตามหลัง
เสียงตูมที่สองดังมา…ทยากรไม่ขอเป็นฝ่ายเฝ้ารอเฉยๆ อีกต่อไป ไอ้หนุ่มเมืองกรุงวิ่งสวนทางกับคนงานมากมาย ผิดกันที่พวกเขาวิ่งหนีตาย แต่ชายหนุ่มพยายามเข้าใกล้จุดเกิดเหตุ
“เฮ้ย! พี่…พี่!ลุงนายให้รอ…” เด็กเมฆนั่นร้องเรียกเขาเสียงหลง หากคนใจร้อนไม่หยุดฟัง มันเลยต้องวิ่งตาลีตาเหลือกตามเขามาอย่างไม่มีทางเลือก
“เมฆ! นายหัวอยู่เรือลำไหน” เขาตะโกนถาม
“ลำ…ลำนั้นจ้ะ”
ไอ้คนตอบชี้ไปยังเรือลำหนึ่ง ตัวเรือทาสีน้ำทะเลตัดสีขาวตลอดทั้งลำ เป็นลำเดียวที่ขนาดของมันไม่เหมือนกับเรือลำไหนๆ “สีฟ้านั่นเหรอ”
“ใช่จ้ะ เรือลำแรกในชีวิตลุงนาย แกเลยรักมาก”
ทยากรกระโดดลงเรือทันทีเมื่อได้รับการยืนยัน ควันดำคละคลุ้งหายใจลำบาก หนุ่มกรุงเทพฯ เดินไล่หาจากกาบเรือด้านซ้าย ไม่นานก็เห็นเป้าหมายยืนหน้าเครียดอยู่หน้าเครื่องยนต์เรือ
“นายหัว!”
“เอ็งมาทำไมวะ!” คนหันมามองตวาดลั่น สีหน้าใกล้คลุ้มคลั่งอยู่รอมร่อ“ไอ้มืด! กูสั่งแล้วใช่มั้ยให้อยู่กับมันตรงนู้น”
“เอ่อ…” เด็กดำทำหน้าหวาดผวา กลัวอาญาลุงนายของมันจนเยี่ยวจะราด “คือ…คือ พี่ทะเลวิ่งมาจ้ะลุงนาย ฉันเลยวิ่งตาม”
“อย่าว่าเด็กมันเลยครับ ผมเป็นห่วง…”
ได้ยินคำสุดท้ายจากปากลูกชาย นัยน์ตาเริงไฟก็ดับไปเสียเฉยๆ
“เอ็งมันดื้อ!”
มือใหญ่ผลักหัวทยากรจนเซแล้วดันตัวมันออกห่าง ร่างกายของเขาคลุกฝุ่นไปทั้งตัว เกรงว่าจะพาลเปรอะเปื้อนไปถึงมัน
ทยากรเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่า นอกจากตัวเขา พ่อ และเด็กเมฆ ในเรือยังมีคนอื่นอีกตั้งสาม…
“ใครวะนาย” ผู้ชายผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่ มีรอยสักลายพร้อยเต็มแขนขวาหันหลังมาลูกตาดำปี๋ของมันจ้องเขาแปลกๆ คนกรุงเทพฯ ไม่ชอบใจนัก
“มึงอย่าเสือกไอ้ชาติ” ผู้ปกครองของเขาตวาด “กูบอกให้มึงไปหาหมอตั้งแต่เมื่อกี้ เดี๋ยวบาดทะยักก็แดกหัวเอาหรอก”
คนมาใหม่เหลียวมองมันกลับ เพิ่งเห็นว่า ‘ไอ้ชาติ’ หัวแตก แผลใหญ่เอาการ เลือดแดงฉานไหลอาบซีกหน้าด้านหนึ่ง ทว่าเจ้าตัวทำราวกับโดนมดกัด
“แผลแค่นี้เองนาย ไอ้ชาติไม่รู้สึกอะไรหรอก ไกลหัวใจ”
“เออ มึงมันอึดเหมือนควาย ตายขึ้นมาอย่ามาเบิกค่าทำศพกับกูแล้วกัน” นายหัวชาญส่ายศีรษะเอือมระอา ก่อนจะหันหน้าไปหาผู้อาวุโสกว่าที่ตั้งหน้าทำงานเพียงอย่างเดียว “แก้ได้มั้ยลุงอิน”
‘ลุงอิน’ คือชายวัยกลางคนระยะปลาย คล้ายจะเข้าสู่วัยเลขห้าเข้าไปแล้ว รูปร่างอ้วนท้วมผิวค่อนข้างคล้ำทำให้ทยากรนึกถึงลุงหมีในการ์ตูนสมัยเด็กที่เคยดู
“จนปัญญาแล้วนายหัว เครื่องนอกแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ” ลุงอินถอนหายใจ ไม่อยากจะให้นายผิดหวัง แต่ชาวบ้านต็อกต๋อยอย่างแก ให้มาแก้เครื่องยนต์แพงๆ อย่างนี้ ความรู้ที่มีไม่พอจะทำให้ “ท่อน้ำมันก็รั่ว…น่ากลัวจะติดไฟอีกรอบซะละมั้ง”
พูดยังไม่ทันขาดคำประกายไฟก็ประทุวาบ ส่อสัญญาณอันตราย
“ฉิบหาย! เฮ้ย…พวกมึงทุกคน รีบออกไปเลย”
“ไม่ซ่อมแล้วเหรอนาย”ผู้ชายอีกคนเงยหน้าขึ้นจากใบพัด เห็นได้ชัดว่ากำลังไล่เช็คส่วนอื่นๆ ของเรืออยู่ เขาเป็นคนเดียวในบรรดาคนงานที่ผิวไม่คล้ำ แม้ไม่ขาวจัดเหมือนคนกรุงเทพฯ อย่างเขา แต่ก็จัดว่าดูแปลกตา
“ถ้ามันไม่อยากจะอยู่กับกูก็ปล่อยมันจมทะเลไป” นายหัวชาญกวาดตามองลูกรัก รอยอาลัยปรากฏบนใบหน้า “รีบไป! ไปซะตอนนี้…ไอ้หินมึงพาลุงอินกับเด็กออกไป ไอ้ชาติ…มึงด้วย ไปหาหมอ!”
ทุกคนที่ถูกขานชื่อทำตามอย่างเคร่งครัด เด็กเมฆพอเห็นประกายไฟก็ตกใจสีหน้าหวาดหวั่น มือผอมแห้งดำคล้ำกระตุกชายเสื้อเขาเหมือนอยากให้ตามทุกคนไป แต่ความสนใจของทยากรไม่ได้อยู่ที่ ‘คน’ เขากำลังมอง ‘เครื่องยนต์’ ตรงหน้า
“ไอ้ทะเล แล้วเอ็งจะยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า!” พ่อสบถเสียงดัง ตามมาด้วยมือใหญ่ดึงคอเสื้อเขาไว้เตรียมจะลาก…
“เครื่องยุโรป…หกสูบ ห้าร้อยแรงม้า…”
“เอ็งว่าไงนะ”
“เครื่องยนต์เหมือนดัดแปลงมาจากรถ ผมว่าผมพอทำได้”
ตอนเรียน…เขาไม่ได้เรียนเครื่องยนต์ของเรือมาก เพราะความสนใจในรถมีมากกว่า นายทยากรแห่งวิศวะเครื่องกลจึงคุ้นเคยกับทุกส่วนของเจ้าสี่ล้อมากกว่ายานพาหนะชนิดไหนๆ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าใกล้เครื่องยนต์เรือ ตั้งใจจะตรวจดูวงจรการทำงานของเครื่อง ทว่ากลิ่นน้ำมันและประกายไฟไม่เป็นใจให้เขาลงมือทำ
“เอ็งต้องไปกับข้าก่อนที่มันจะระเบิดอีก”และคราวนี้คงเสียงดังกว่าสองครั้งแรก…
นายหัวชาญมองคราบน้ำมันที่ค้างอยู่ภายในท่อส่ง พวกมันไหลออกมามากขึ้น เมื่อเจอเข้าไปประกายไฟ คงคร่าชีวิตใครก็ได้ทั้งนั้น “ไป!”
ร่างสูงใหญ่กระชากลูกชายออกมาจากเรือลำนั้น ชั่วกระพริบตาเดียวเสียงดังสนั่นก็ไล่หลังมาราวกับอยู่ในฉากหนังแอคชั่น ทยากรหันไปมองเรือขนาดกลางสีฟ้า บัดนี้ส่วนท้ายของเรือพังยับ
พ่อเสีย ‘ลูกรัก’ ไปเกือบทั้งลำ…
ตัวเรือทำจากไม้ เศษซากของมันจึงลอยฟ่องเหนือผืนน้ำ เขาไม่อยากคำนวณเลยว่าเครื่องยนต์บางชิ้นที่จมก้นทะเลนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่
“เสียดายว่ะ เยินขนาดนี้จะซ่อมได้อีกไหมวะ” ไอ้ชาติบ่นพึมพำกับไอ้หิน ทั้งคู่ยืนมองหายนะของเรือลำนั้นด้วยความหดหู่
ทยากรถอนหายใจหนัก รู้สึกแย่ที่ทำใจเย็นยืนรออยู่เฉยๆ ทั้งที่เขาอาจช่วยอะไรได้ หากชายหนุ่มยืนกรานเดินตามนายหัวชาญมาตั้งแต่แรก บางทีเรือลำนี้อาจยังอยู่รอดปลอดภัย ทว่าตอนนี้ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
“ขอโทษทีนะนายหัว อุตส่าห์ขอให้มาดูแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เล้ย”
“ช่างเหอะลุง เสี่ยงลงมาดูให้ก็ขอบใจมากแล้ว”
นายจ้างบอกปัด นึกเปรียบเทียบหัวใจสิงห์ของคนเก่าคนแก่กับไอ้พวกคนงานวัยกำยำ…ยังหนุ่มยังแน่นกันก็หลายคน เจอเสียงระเบิดดังเข้าหน่อยดันวิ่งกันป่าราบ
“นี่ถ้า ‘ไอ้เม่น’ มันอยู่ก็คงดี มันคงแก้ของมันได้”ชายชราบ่นพึมพำ
ชื่อของใครบางคนถูกยกมา นายหัวชาญจึงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เครื่องยนต์เรือในนามชาญทะเลทุกลำเป็นความรับผิดชอบของ ‘นายช่างใหญ่’แต่เกิดระเบิดตูมตามสามสี่รอบปานนี้ ยังไม่มีแม้แต่เงาหัวของมันมาเฉียดกราย
“แล้วมันไปไหน” นายใหญ่เค้นเสียงถาม “นายช่างของพวกมึงน่ะ มันหายหัวไปไหนวะ!”
นายหัวชาญฉุนจัดดวงตาดุดันวาววับ
สิ่งที่เขาชิงชังนักคือการละทิ้งหน้าที่ของตน คนงานคนใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างนี้ เขาไม่นิยมเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำ แต่นี่กลับเป็น ‘มัน’ ไอ้คนที่นายหัวชาญกล้าใช้คำว่า ‘ไว้ใจ’
“ไม่เห็นหน้าพี่เม่นตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วจ้ะลุงนาย” ไอ้เมฆอาสาเป็นหน่วยกล้าตายตอบให้ ใบหน้าดำๆ ช้อนตามองลุงนายกล้าๆ กลัวๆ
“เมื่อวานมันไม่มาทำงานเหรอ”
“มาตอนเช้าจ้ะ แล้วก็หายไปเลย”
เด็กขยันพูดเล่าให้ฟังจ้อยๆ เสียงแหลมเล็กเหมือนยังไม่แตกหนุ่ม ฟังแล้วปวดหูพิกล “ฉันเห็นพี่เม่นสีหน้าไม่ค่อยดีเลยจ้ะ แถมเดินโซเซด้วยนะจ๊ะลุงนาย ไม่รู้ไม่สบายหรือเปล่า”
พูดไป ไอ้เด็กดำก็ทำหน้าเป็นห่วง ในขณะที่คนฟังไม่ได้เข้าใกล้ความรู้สึกนั้นสักนิด
โซซัดโซเซ โงหัวมาทำงานไม่ได้…
ไม่สบายห่าอะไรล่ะ นั่นมันอาการคนเมา
“วันนี้วันที่เท่าไหร่”
นายใหญ่หันไปถามลางสังหรณ์ของเขาวิ่งพล่านชอบกล ปกติไอ้เม่นไม่ใช่คนเหลวไหล มันทำงานกับเขามาตั้งแต่ชาญทะเลเริ่มต่อตั้ง ตั้งแต่เรามีเรือเพียงไม่กี่ลำจนกระทั่งมีเป็นสิบยี่สิบลำอย่างทุกวันนี้
“ยี่สิบห้าเดือนแปดแล้วนาย”ไอ้หินตอบสั้นๆ
คนฟังทั้งหมดยกเว้นทยากรมีสีหน้าครุ่นคิด
เดือนแปด…วันนั้น…
วันที่คนทั้งเกาะจำมันได้…
“หรือว่า…นาย!”ไอ้ชาติร้องโวยวาย
สีหน้าของนายหัวชาญดูดุร้ายยามเมื่อเขาคาดเดา ‘เรื่อง’ ออก
ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ร่างสูงใหญ่ก็จ้ำพรวดไปทางบ้านพักคนงานหลังสุดท้ายของท่าเรือชาญทะเล…
100%
-------
นายช่างญ่ายยย…ออกยากออกเย็นแท้น้อ ค่าตัวแพงเหรอ! (ฮาา)
แต่ตอนหน้านี่ต้องออกค่ะ ไม่ออกก็แย่แล้วนะ เค้าปักธง #ทีมนายหัว กันหมดแล้ววว
ตัวละครเริ่มออกมากองกันละ อย่าสับสนนะ :D
ตอนหน้า ทุกคนจะได้พบกับ…ไททันแห่งอันดามัน 55555+ โปรดติดตาม~~
ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยค่า น่าร๊ากกก
(ไม่ดองเพราะมีคนทวงเนี่ยแหละ 5555) <3