โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

จับตา 9 ธ.ค.นี้ ‘พิพัฒน์’ ชงครม.ดันซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสารพัดสี

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงคมนาคมได้นำร่องจัดทำนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน ในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง เพื่อสอดรับกับการใช้ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) อย่างสมบูรณ์ในอนาคต ซึ่งจะต้องดำเนินการบริหารจัดการรถไฟฟ้าภายใต้แนวคิดบริหารรายเดียว (Single Ownership)

ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นจะพิจารณาหลักการของการบริหารรถไฟฟ้าด้วย Single Ownership ซึ่งจะโอนโครงการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนด้วย คาดว่าเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า หากจะดำเนินการโอนสิทธิการบริหารรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับเอกชนกลับมาเป็นของ รฟม. จำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน

ส่วนแนวทางการซื้อคืนและมูลค่าการซื้อคืนนั้น กระทรวงฯ จะหารือกับกระทรวงการคลังให้เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม แต่เบื้องต้นได้มีการหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้ว ไม่ได้ขัดข้องต่อแนวคิดดังกล่าว

ทั้งนี้หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงและการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วม คือการรวบรวมกรรมสิทธิ์โครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ที่ รฟม.เพื่อให้สามารถบริหารค่าโดยสารได้เป็นโครงข่ายเดียวและการยกเว้นค่าแรกเข้า

ดังนั้นก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการให้สัมปทานแบบเดิม มาเป็นการที่รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและจ้างเอกชนเดินรถ ทำให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและตั๋วร่วมได้อย่างอิสระ

ขณะที่การจะโอนรถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐ เมื่อ ครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องเจรจากับเอกชน เพื่อทำข้อตกลงในการซื้อคืนรถไฟฟ้า

ด้านรูปแบบของการหาแหล่งเงินมาซื้อคืนนั้นจะเป็นอย่างไร เป็นส่วนของกระทรวงการคลังจะพิจารณา โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ 2 แนวทาง คือ 1. จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คล้ายกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เพื่อระดมเงินมาใช้เพื่อการซื้อคืนรถไฟฟ้า

2.เปิดสัมปทานระยะยาวแก่เอกชน เช่น สัญญา 30 ปี โดยให้เอกชนนำสัมปทานใหม่นั้นไปค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยโมเดลนี้รัฐไม่ต้องกู้เงินหรือค้ำประกันเอง ก็จะไม่กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ แต่รัฐจะทำสัญญาเพื่อทยอยจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานให้เอกชนในภายหลัง รวมทั้งจะจ่ายค่าจ้างงานเดินรถตามสัญญากำหนด

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ความคืบหน้าการเจรจากับผู้ประกอบการรายเดิมอย่าง กระทรวงฯ ได้หารือแล้วเบื้องต้นมีทิศทางเป็นบวก ซึ่งภาคเอกชนไม่ขัดข้องที่จะขายคืนสัมปทาน

หากราคาที่รัฐเสนอมีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรม อีกทั้งยังมีการเจรจากับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็พร้อมที่จะโอนโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาอยู่ในความดูแลของ รฟม.

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าปัจจุบันเป็นสัญญาสัมปทานลักษณะ PPP Net Cost คือ เอกชนได้รับสิทธิในการลงทุน ระบบเดินรถ และให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ มีจำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

อย่างไรก็ดีโครงการเหล่านี้เนื่องจากเป็นสัมปทานที่เอกชนจัดเก็บรายได้ จึงจะต้องมีการซื้อคืนมาเป็นของรัฐ และเปลี่ยนสัญญาเป็น PPP Gross Cost โดยรัฐรับความเสี่ยงด้านรายได้จากค่าโดยสารทั้งหมด ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง

ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ได้ประเมินเบื้องต้นจากการจัดซื้อรถไฟฟ้าทั้ง 4 โครงการนั้น คาดว่ามีมูลค่ามากถึง 1 แสนล้านบาท เนื่องจากรถไฟฟ้าบางโครงการเพิ่งเริ่มเปิดให้บริการ และยังมีสัญญาสัมปทานหลายปี

นอกจากนี้แม้ว่ามูลค่าการซื้อคืนรถไฟฟ้ามีมูลค่าที่สูง แต่จากแนวทางการเจรจาซื้อคืนมีหลายรูปแบบ รัฐไม่จำเป็นต้องเตรียมเงินเพื่อนำมาซื้อคืน ซึ่งอาจเป็นรูปแบบการเจรจาทำสัญญาใหม่ และรัฐจะทยอยจ่ายค่าซื้อคืน รวมทั้งเอกชนยังมีรายได้จากค่าจ้างเดินรถ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...