โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

โฆษกกต. ยืนยัน "อนุทิน" ไม่ตอบรับข้อเสนอมาเลเซีย เตือนคนไทยย้ายออกจากกัมพูชาถ้าไม่มีธุระจำเป็น

The Better

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE BETTER
โฆษกกต. ยืนยันนายกฯไม่ตอบรับข้อเสนอมาเลเซีย - เตือนคนไทยเดินทางออกจากกัมพูชาจนกว่าสถานการณ์คลี่คลาย เขมรจับกุมชาวไทย 75 คนในพนมเปญ สงสัยพัวพันหลอกลวงออนไลน์

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าว เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในวันนี้ (10 ธ.ค.68) ประเด็นสำคัญ คือ.

1. การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ดังนี้

1.1 กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือประท้วงถึงกัมพูชาแล้ว 2 ฉบับ เรียกร้องให้กัมพูชายุติการคุกคามอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงยุติการกระทำยั่วยุต่างๆ

1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม และจะมีการจัด briefing เช่นนี้ให้คณะทูตอยู่เป็นระยะ

1.3 เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UN Secretary General: UNSG) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council: UNSC) เพื่อแจ้งการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หลังฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยอย่างไม่เลือกเป้าหมาย จนเป็นเหตุให้ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพอย่างเร่งด่วน พร้อมชี้แจง 'ความจำเป็น' ของไทยในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทย และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันกดดันกัมพูชาให้ยุติการยั่วยุและความเป็นปรปักษ์ เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาร่วมกับไทยได้โดยสันติวิธี

1.4 สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของไทยได้ดำเนินการเชิงรุกในการชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ให้แก่หน่วยงานในประเทศเจ้าบ้าน เพื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อสถานการณ์

1.5 กระทรวงการต่างประเทศได้เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับสื่อต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลักหลายสำนัก อาทิ CNN, BBC, Channel News Asia (CNA), Al Jazeera, Reuters และ The New York Times เป็นต้น การให้ข่าวนี้เป็น 'การดำเนินการเชิงรุกด้านประชาสัมพันธ์' เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง รอบด้าน ทันต่อเวลา และเพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชา

ส่วนกรณีที่มีสื่อบางสำนักรายงานว่า ไทยตอบรับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวานตอน 23.00 น. นั้น โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข่าว 'ไม่มีมูลความจริง' โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใดๆ จากฝ่ายมาเลเซีย

2. การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เมื่อวานนี้ (9 ธันวาคม) คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT Thailand) ได้ลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปพัฒนาการของสถานการณ์การปะทะ และข้อมูลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 7-8 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะ AOT ยังได้เข้าเยี่ยมและมอบกระเช้าให้กำลังใจแก่ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ไทยยังคงยึดมั่นในความโปร่งใส เพื่อเปิดให้กลไกอิสระของอาเซียนเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางในทุกขั้นตอน

3. การดำเนินการในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) รัฐมนตรีต่างประเทศได้เดินทางไปร่วมการประชุมอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม ที่นครเจนีวาโดยได้แจ้งที่ประชุมถึงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวรถึง 7 คน และบาดเจ็บอีกหลายคน รัฐมนตรีต่างประเทศยังได้เรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกับไทย โดยที่การวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทยนั้นเป็น 'การละเมิดอนุสัญญาอย่างชัดแจ้ง'

ไทยได้ขอคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติแล้วตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ แต่ได้รับคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เมื่อพิจารณาว่ากัมพูชาได้บ่ายเบี่ยงเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับฝ่ายไทยภายใต้กลไกทวิภาคีมาโดยตลอด ไทยจึง 'ไม่มีทางเลือกอื่น' นอกจากขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Finding Mission) ที่เป็นอิสระ ตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฯ คำขอของไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการขอให้ใช้กลไกดังกล่าวภายใต้อนุสัญญาฯ ในขณะนี้ 'ยังไม่สามารถบอกเงื่อนเวลาที่ชัดเจนได้' แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะประสานงานกับหน่วยงานภายใต้อนุสัญญาฯ และสหประชาชาติเพื่อผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบการกระทำของตนเอง ประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทยต่อไป เพื่อประกัน 'ความปลอดภัยของประชาชน' ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด

4. การประกาศแจ้งเตือนคนไทยเกี่ยวกับกัมพูชา ปัจจุบันมีคนไทยอยู่ที่กัมพูชาประมาณ 600 ถึงไม่เกิน 1,200 คน สถานเอก อัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และสถานกงสุลได้ติดต่อและแจ้งข้อมูลพัฒนาการของสถานการณ์ให้กลุ่มคนไทยทราบอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความไม่แน่นอน กระทรวงต่างประเทศโดยกรมกงสุลจึงได้ออกประกาศแจ้งเตือน ขอให้คนไทยในกัมพูชาที่ไม่มีเหตุจำเป็นในการพำนัก พิจารณาเดินทางออกจากกัมพูชา และขอให้คนไทยที่ไม่มีเหตุจำเป็น งดเว้นการเดินทางไปกัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย การออกประกาศดังกล่าวคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ

ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือมีเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือ ได้ที่

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ (+855) 77 888 114

สถานกงสุล ณ เมืองเสียมราฐ (+855) 86 608 999

หมายเลขฉุกเฉินกรมคุ้มครองฯ กรมการกงสุล 096 216 1837, 096 183 6736, 064 564 7573

Call Center กรมการกงสุล (+66) 2 572 8442 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

หรือผ่านแอปพลิเคชัน Thai Consular

กัมพูชาจับกุมชาวไทย 75 คนในพนมเปญ สงสัยพัวพันหลอกลวงออนไลน์

สำนักข่าว เฟรชนิวส์ (freshnews) ของกัมพูชารายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 9 ธ.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ผสมร่วมของกัมพูชาออกปฏิบัติการตรวจค้นฟาร์มชื่อ “อมระ” (Amara) ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเกาะกระบือ 1 (Koh Krabei 1) ในเขตชบา อัมปอว (Chbar Ampov) กรุงพนมเปญ หลังการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีการลักลอบกระทำอาชญากรรมฉ้อโกงทางเทคโนโลยี ในรูปแบบการหลอกลวงออนไลน์

ปฏิบัติการเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันที่ 9 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ภายใต้การนำและการประสานงานจากสำนักเลขาธิการของคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงทางระบบเทคโนโลยีร่วมกับกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะบัญชาการเอกภาพกรุงพนมเปญ และด้วยการประสานงานทางนิติวิธีจากผู้แทนอัยการประจำศาลชั้นต้นกรุงพนมเปญ และการเข้าร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เข้าตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยดังกล่าวและนำไปสู่การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งสิ้น 75 คน เป็นชาวไทยทั้งหมด และในจำนวนนี้เป็นสตรี 48 คน

เจ้าหน้าที่ยังยึดของกลางที่เป็นวัตถุพยานรวมถึงคอมพิวเตอร์พกพาและโทรศัพท์มือถือได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย

หลังจากมีปฏิบัติการดังกล่าว ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังประสานงานกับหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติมต่อไป เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อหัวหน้าขบวนการฉ้อโกงเหล่านี้ ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยและของกลางถูกส่งมอบให้กับกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไปแล้ว และฟาร์มที่เกิดเหตุก็ถูกสั่งปิดชั่วคราว

เจ้าหน้าที่กัมพูชาย้ำด้วยว่า พวกเขาจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดที่สุดต่อหัวหน้าแก๊งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฉ้อโกงทางระบบเทคโนโลยีนี้โดยไม่มีการยกเว้นใด ๆ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...