‘บิ๊กป้อม’ลงหลังเสือ ปิดฉาก‘ป.สุดท้าย’ทางการเมือง
การถอนตัวจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คือ การปิดฉากทางการเมืองของ ‘พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์’ แม้จะยังเป็นหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ก็ตาม
เหตุที่ ‘บิ๊กป้อม’ ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เป็นเพราะยังออกทันทีเลยไม่ได้ เพราะต้องทำหน้าที่เซ็นหนังสือรับรองผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ที่ยังอยู่กับพรรคก่อน
การปรับโครงสร้างพรรคฉับพลันไม่สามารถดำเนินการ ต้องให้มีการสมัคร สส.เสร็จสิ้นก่อน หน้าที่ของ ‘บิ๊กป้อม’ หลังประกาศถอนตัวแคนดิเดตนายกฯ จึงเหมือนทำหน้าที่ธุรการให้เสร็จ
หลังจากนั้น จะมีการถอนแบบเบ็ดเสร็จในทางนิตินัย โดย ‘หนูเหน่ง’ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน ผู้ที่ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคแทน ‘บิ๊กป้อม’ จะขยับขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่แทน
อำนาจในพรรคจะอยู่ที่ ‘ตรีนุช’ แต่เพียงผู้เดียว โดยในช่วงแรกจะมี ‘บิ๊กป้อม’ เป็นลมใต้ปีก
สำหรับเป้าหมายในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ คือ มุ่งเน้นเป้าหมายที่มีโอกาส โดยเฉพาะที่ จ.สระแก้ว และ จ.หนองคายบางเขต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้ สส.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และยังอยู่กับพรรค
เป็นพรรคขนาดเล็กแบบเต็มรูปแบบ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้แบบยืนอยู่บนความจริง ภายหลัง 8 กุมภาพันธ์ เมื่อได้เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ว ค่อยกำหนดทางเดินว่าจะเอาอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของ ‘พลังประชารัฐ’ ส่วนหลังจากเลือกตั้งเสร็จ คนที่ฝ่าด่านเข้าสภามาได้จะเป็นผู้คิดว่า จะทำอย่างไรต่อ
ถือเป็นการปิดตำนานทั้งที่การเลือกตั้งยังไม่จบของอดีตพรรคแกนนำรัฐบาลอันยิ่งใหญ่เมื่อปี 2562 กวาด สส.เข้าสภาได้กว่า 100 ชีวิต พา ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งได้
ขนาดในการเลือกตั้งหนที่ 2 ของพรรคในปี 2566 แม้จะเหลือแค่ ป.เดียวอย่าง ‘บิ๊กป้อม’ แต่ยังสามารถฝ่ากระแส พาลูกพรรคเข้าสภา เป็น สส.ได้ถึง 39 ชีวิต
แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ 3 ของพรรค มันไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้ว หลังบรรดาบิ๊กการเมืองที่เคยเป็นมือเป็นไม้ ต่างแยกตัวออกไปสร้างอาณาจักร
แน่นอนว่า ในใจของ ‘บิ๊กป้อม’ แม้สุขภาพร่างกายจะไม่แข็งแรง แต่แรงปรารถนาทางการเมืองนั้นเชื่อว่า ไม่ได้ลดลงไป อดีตนายทหารการเมืองผู้นี้ยังต้องการโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรและวงจรอำนาจ
หากแต่มันถึงจุดในวันที่ต้องยอมรับความจริงว่า เหล่านักการเมืองที่เข้ามาหา และนักเลือกตั้งที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ต่างหวังในผลประโยชน์ที่จะได้รับมากกว่าความศรัทธาในตัว ‘บิ๊กป้อม’
หลายคนชื่นชมที่ ‘บิ๊กป้อม’ เลือกปลดระวางก่อนการเลือกตั้งจะเริ่ม แม้จะช้าไปก็ตาม เพราะมองว่า ถ้าดื้อดึงสู้อีกสนามรบ อาจจะหมดทรัพยากรมากมายมหาศาลโดยไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้
เพราะหากไปมองหลายคนที่เข้ามาสวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมืองเกรดบี เกรดซี ที่ถูกหลายพรรคปฏิเสธมา
ในวงการนี้รู้ดี ‘บิ๊กป้อม’ คือ ‘มิสเตอร์โอเค’ ไม่ว่าใครจะขออะไร เกือบทุกครั้งไม่เคยปฏิเสธ และนักการเมืองมักจะใช้จุดอ่อนตรงนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์
ที่ผ่านมามีคนรอบข้างพยายามเตือน ‘บิ๊กป้อม’ หลายครั้ง แต่ไม่ได้ผล บางคนตัดสินใจออกจากพรรคไป เพราะคาดการณ์อนาคตล่วงหน้าว่า หากเป็นอย่างนี้พรรคพลังประชารัฐจะมีฉากจบอย่างไร
กระทั่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายที่ภาพการเลือกตั้งมันชัด และพออนุมานความเป็นไปได้ได้ บุคคลใกล้ชิดข้างกายหลายราย จึงขอร้องให้ ‘บิ๊กป้อม’ หยุดจริงๆ
มีการปล่อยข่าวออกมาว่า สุขภาพร่างกาย ‘ลุงป้อม’ นั้นไม่ดีแล้ว และที่สำคัญ กระสุนดินดำครั้งนี้เหลือไม่มาก เพื่อให้คนที่คิดจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ดีดตัวออกไป
ใครอยู่ต่อไม่ห้าม แต่พรรคไม่มีนโยบายสนับสนุนกระสุนดินดำเหมือนสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว
การที่ ‘ตรีนุช’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคแทน ‘บิ๊กป้อม’ คือ เครื่องการันตีว่า พรรคจะเดินแนวทางนี้จริงคือ ต่างคนต่างดูแลตัวเองในพื้นที่ตัวเอง
ขณะที่บทบาท ‘บิ๊กป้อม’ เอง หลังจากนี้จะอยู่ ‘หลังม่าน’ คงไม่หายไปจากแวดวงเสียทีเดียว
ส่วน ‘เบื้องหน้า’ คงไม่กลับมาอีกแล้ว เพราะหลายอย่างไม่เอื้ออำนวย
ถือเป็นการปิดฉาก 3 ป. บนถนนการเมืองอย่างบริบูรณ์ หลังน้อง 2 คน ตัดสินใจสลัดตัวเองจากวงการนี้ไปก่อนนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น‘บิ๊กป๊อก’ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต รมว.มหาดไทย และ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปัจจุบันเป็นองคมนตรี
น้อง 2 คน ลงหลังเสือแบบสวยงาม ในขณะที่ ‘บิ๊กป้อม’ ลงหลังเสือแบบทุลักทุเลสักหน่อย แต่ไม่ถึงกับยับเยินอะไร
‘พรรคพลังประชารัฐ’ คือ สิ่งตอกย้ำว่า พรรคทหาร หรือพรรคเฉพาะกิจจะอยู่ได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แม้เคยยิ่งใหญ่ก็ตาม.