โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"ภาษีชัด-มิตซูบิชิฯ" ถือหุ้น 20% หนุนผลงาน "ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป" ทะยาน

Manager Online

เผยแพร่ 10 ส.ค. เวลา 15.41 น. • MGR Online

“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” มีปัจจัยบวกช่วยสนับสนุนช่วงที่เหลือปี 2568 หลังได้ความชัดเจนภาษีนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ แถม “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น”ประกาศขอเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 20% สะท้อนศักยภาพบริษัทซึ่งเป็นผู้นำอาหารทะเล คาดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 แม้ยอดขายที่ผ่านมาลดลง ขณะสภาพคล่องและสถานะการเงินยังแข็งแกร่ง

สัปดาห์ที่ผ่านมา (4-8 ส.ค.68) ถ้านอกเหนือจากกระแสเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย และการกลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งบนกระดานหลักทรัพย์ของ บมจ.การบินไทย (THAI) ก็ต้องยกให้กับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่มีดีลทางธุรกิจที่น่าสนใจจนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญ

เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2568 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทได้รับหนังสือจาก “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งแจ้งเจตจำนงในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเพิ่มเติม โดยการรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป โดย “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ผู้ยื่นข้อเสนอ

สำหรับ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการค้า และการลงทุนแบบบูรณาการซึ่งพัฒนาและดำเนินธุรกิจที่หลากหลายในหลายอุตสาหกรรมผ่านเครือข่ายระดับโลก มีความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุม ในด้านการจัดจำหน่าย การค้าระหว่างประเทศ การขนส่งและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกของบริษัท

ส่วนสาเหตุของการตัดสินใจลงเพิ่มเติมในหุ้น TU ผู้ยื่นข้อเสนอให้เหตุผลว่า เพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดจากกิจกรรมทางธุรกิจ ด้วยความมุ่งมั่นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรม และการพัฒนาความร่วมมือระดับสากล ซึ่งฝ่าย TU ก็มองว่า “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของบริษัท

นั่นทำให้ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น และ TU มีแผนร่วมมือกันเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นทางการโดยการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ (Business Alliance Agreement) เพื่อการกำหนดความร่วมมือระหว่างกัน การประเมินแนวโน้มการลงทุน และการสำรวจกลยุทธ์การเติบโต โดยอาศัยเครือข่ายของผู้ยื่นข้อเสนอ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดของบริษัท

สัดส่วนหุ้นTUในมือ “มิตซูบิชิ”

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ก.ค.2568 “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ถือหุ้นใน TU จำนวน 238,745,120 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 6.19% หรือ 5.36% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท อย่างไรก็ตามภายใต้ข้อจำกัดการถือหุ้นของคนต่างด้าว ทาง “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” มีความประสงค์จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเพิ่มเติมจำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็น 13.81% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท

และจะทำให้ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” กลายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท รวมทั้งสิ้น 771,018,759 หุ้น หรือคิดเป็น 20% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท (ไม่รวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทถืออยู่)

ราคาหุ้นทรุดกลัวกลุ่มเดิมถอนตัว

อย่างไรก็ตามทันทีที่มีข่าวดังกล่าว พบว่าราคาหุ้น TU ได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนเข้าใจผิดว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มTU จะทิ้งธุรกิจและบริษัทจะถูกเทกโอเวอร์ นั่นทำให้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันว่าครอบครัวยังคงถือหุ้นใหญ่สุดที่ 30% ขณะที่ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” ได้ถือหุ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว และการเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) เพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันพัฒนาธุรกิจการค้ามากขึ้น

สำหรับการประสานความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของTU โดยมี 3 ปัจจัยหลักคือ การสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยการรวมจุดแข็งของ TU ในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปกับเครือข่ายของมิตซูบิชิฯ ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงวัตถุดิบและเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

ถัดมาคือ การสร้างการเติบโตในผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการสูง เช่น อาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค และการผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ไม่เพียงเท่านี้ มีรายงานว่าTU สนใจการพัฒนาตลาดซูชิในสหรัฐฯ และตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง และคาดว่าจะเห็นความร่วมมือที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2569 เช่นเดียวกับที่มีรายงานว่ากองทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจลงทุนในหุ้น TU มากขึ้น หลังจากลดการลงทุนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากเห็นความชัดเจนเรื่องภาษี (Tariff) ที่ 19% และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยที่ได้เปรียบ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

คาดช่วยหนุนผลงานQ3/68

ขณะที่ ภาพรวมตลาดเชื่อว่า ดีลดังกล่าวให้ผลลัพธ์เป็นบวกต่อ TU เนื่องจากส่งผลให้เกิด Sentiment เชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีจาก 2 ไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการเข้าถือหุ้นเพิ่มของมิตซูบิชิ คาดว่าจะทำให้เกิด Synergy หรือการผนึกกำลังกันในอนาคต

ส่วนราคาหุ้น TU ในปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่าได้ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว จึงอาจเป็นการเข้าเทรดดิ้ง มากกว่าการลงทุนในระยะยาว ทำให้มีกลยุทธ์คือเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา และขายออกเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น

ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง

สำหรับ TU มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินงานงวดวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.2568 และกำไรสะสม โดยจ่ายเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 1 ก.ย. 2568 และเห็นชอบวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 18 ส.ค. 2568 และ วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค. 2568

โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากยอดขายลดลง 7.8% และกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 0.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ 19.3%

ขณะเดียวกันบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และต้นทุนทางการเงินลดลง 7.5%

ก่อนหน้านี้ TU รายงานนักลงทุนว่าในปี 2568 บริษัทจะเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้า และเงินเฟ้อคงที่8194;แต่ภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรกยังคงแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ยอดขายลดลง และมีการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด8194;นอกจากนี้ บริษัทประเมินภาษีเพิ่มเติมในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 300 ล้านบาท และคาดหวังมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ

สะท้อนได้จาก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 10ปีของ TU ที่ระดับ “A+”โดยบริษัทจะนําเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชําระคืนหนี้เงินกู้เดิมของบริษัทใช้เป็นเงินทุนในการดําเนินงานและใช้ลงทุนในอนาคตในขณะเดียวกัน

พร้อมกันนี้ยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนําของโลก รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย และแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงมีข้อจํากัดจากความเสี่ยงด้านภาษีนําเข้าของสหรัฐอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวตลอดจนความผันผวนของราคาสินค้าและอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ผลการดําเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อันเป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการปรับโครงสร้างตามแผนกลยุทธ์ของบริษัท (Transformation Project)ส่งผลให้รายได้จากการดําเนินงานรวมของบริษัทลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 63,000 ล้านบาทในขณะที่ EBITDA ของบริษัทลดลง12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 5,500 ล้านบาท

มาตรการการค้ายังกดดัน

นอกจากนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.2เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.4เท่าในปี 2567ในระยะข้างหน้าคาดว่าบริษัทอาจเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าเนื่องจากบริษัทพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนสําคัญ ทั้งนี้ ล่าสุด สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้การค้าที่ระดับ19% สําหรับสินค้าส่งออกจากประเทศไทยซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่บังคับใช้กับประเทศผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่อื่นๆ

อย่างไรก็ดี อัตราภาษีใหม่นี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ การที่บริษัทมีเครือข่ายฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ ประกอบกับการดําเนินมาตรการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดทอนผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้บางส่วน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนให้กับบริษัทได้ในระยะยาว

สภาพคล่องยังช่วยหนุนธุรกิจ

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจํานวน 35,000 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจํานวน 20,000ล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจํานวน 12,000 ล้านบาทและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จํานวน 2,500 ล้านบาท ในขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายตามแผนการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2568 แหล่งที่มาของเงินทุนของบริษัทณ สิ้นเดือนมิถุนายน2568 ประกอบด้วยเงินสดในมือจํานวน 9,200 ล้านบาทและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานประมาณ 7,000 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าตลอดจนวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 21,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ณ เดือนมิถุนายน2568 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยซึ่งไม่รวมภาระผูกพันในสัญญาเช่ารวมทั้งสิ้นจํานวน 75,000 ล้านบาทโดยในจํานวนนี้เป็นหนี้ที่มีลําดับในการได้รับชําระคืนก่อนประมาณ 1,300 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลําดับในการได้รับชําระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่เพียง 2% ตามข้อกําหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดํารงอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ํากว่า 2.0 เท่านั้น โดย ณ เดือนมิถุนายน2568บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1เท่า ซึ่งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกําหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า

“มิตซูบิชิ” ถือหุ้นเพิ่มไม่กระทบ

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมสำหรับ TU คือ การที่บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นได้แจ้งเจตจํานงในการลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทอีก 13.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20% ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ และการลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

โดยหากธุรกรรมนี้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าทีมผู้บริหารและการดําเนินธุรกิจของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยบริษัทมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่นจะส่งตัวแทนสองคนเข้าดํารงตําแหน่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 12 คนทั้งนี้ ในฐานะที่ทั้งสองบริษัทได้ดําเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี

นั่นทำให้การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแต่อย่างใดแนวโน้มอันดับเครดิตแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ไม่เพียงเท่านี้คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อEBITDA ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 เท่าเอาไว้ได้

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...