โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รัฐบาลพท.เผชิญศึกซ้อน สัญญาณอวสาน’ชินวัตร’

ไทยโพสต์

อัพเดต 09 ส.ค. เวลา 22.00 น. • เผยแพร่ 09 ส.ค. เวลา 17.01 น.

หากฉากทัศน์ของนายกฯ และพ่อนายกฯ เป็นดังที่ประเมินไว้ นอกจากปิดฉากเส้นทางการเมืองของ “ตระกูลชินวัตร” แล้ว แรงสั่นสะเทือนยังกระทบไปถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เข้าสู่โหมดล่มสลายหรือแพแตกเช่นกัน

พี่น้องชาวไทยยังฝากความหวังไว้กับกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ในการหาทางออกสู่สันติภาพ หลังเกิดการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรงจนมีทั้งพลเรือนและทหารเสียชีวิต ความเสียหายไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ในมิติชีวิตและร่างกาย แต่ยังลุกลามไปถึงทรัพย์สิน มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศก็นับว่ามหาศาล สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างความสูญเสียเชิงรูปธรรม แต่ยังสร้างบาดแผลทางความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติ

หลังจากความตึงเครียดดำเนินมาหลายวัน ในที่สุดผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ประเทศมาเลเซีย นำมาซึ่งทั้งสองชาติสามารถตกลงหยุดยิงได้ 13 ข้อ โดยใจความสำคัญคือการเห็นพ้องที่จะรักษาสันติภาพชายแดน และยุติการใช้อาวุธทุกประเภทโจมตีทั้งพลเรือนและทหารในทุกพื้นที่ทุกกรณี ซึ่งถือเป็นข้อตกลงสำคัญต่อการลดความรุนแรง

ในทางปฏิบัติยังมีหลายประเด็นที่ยังไม่สามารถบรรลุได้อย่างสมบูรณ์ และจำเป็นต้องดำเนินการต่อในการประชุมครั้งถัดไป

ข้อเสนอของไทยที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากกัมพูชา เช่น การร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน และการปราบปรามเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้พื้นที่ชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการ

ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชาก็มีข้อเรียกร้องเช่นกัน ได้แก่ การให้ไทยใช้กำลังทางอากาศ เช่น เครื่องบินขับไล่ F-16 ในพื้นที่ปะทะ และการรื้อลวดหนามจาก 11 พื้นที่ อาทิ บริเวณปราสาทตาเมือนธม

เงื่อนไขเหล่านี้สะท้อนว่าข้อตกลงที่ได้มาเป็นเพียงการ“พักรบ” มิใช่การยุติข้อขัดแย้งอย่างแท้จริง ภายใต้บรรยากาศที่ยังไม่นิ่งนี้ จึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าฝ่ายกัมพูชาจะรักษาข้อตกลงได้จริงเพียงใด

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็มีโจทย์ใหญ่รออยู่เบื้องหน้า คือการรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ เพราะภาพลักษณ์ปัจจุบันถูกมองว่าไทยอยู่ในสถานะที่เป็นรอง ทั้งด้านการเจรจาและความคล่องตัวในการตอบสนองสถานการณ์

อีกทั้งยังต้องเผชิญแรงกดดันภายในประเทศ โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์เรื่องการบริหารจัดการงบประมาณฉุกเฉินให้ถึงมือประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างทันท่วงที

กรณี “ดรามางบฉุกเฉิน” จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นตัวอย่างสะท้อนปัญหาได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ “น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” รมช.มหาดไทย (มท.2) สร้างภาพใหญ่กลางสภา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีโทรศัพท์เข้ามากลางสภา ยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งบ

แต่ข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่าจ่ายได้เพียง 55,000 บาทเท่านั้น ขณะที่จังหวัดอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงกลับได้รับงบหลักสิบล้านบาท เช่น สุรินทร์ 55,196,982 บาท, บุรีรัมย์ 14,160,000 บาท และศรีสะเกษ 46,810,500 บาท

เหตุการณ์นี้ทำให้ “มท.2” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “ชอบทำงานหน้าสื่อ” มากกว่าลงพื้นที่จริง อีกทั้งเชื่อฟังข้อมูลจากข้าราชการโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ส่งผลให้ประชาชนเสียโอกาสและเผชิญความเดือดร้อนโดยตรง กระแสวิจารณ์ยังลุกลามจนต้องสั่งย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเข้ากรุ พร้อมมีการโยนความผิดไปยัง “มท.1” คนก่อนว่าเป็นผู้แต่งตั้ง

ยังมีแรงกดดันให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้เสียชีวิตทั้งทหารและประชาชน มูลค่า 8-10 ล้านบาทอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความเป็นธรรม และขจัดคำครหาให้แก่การเสียสละชีวิตและร่างกายของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะทหาร-ตำรวจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ต่อสู้ปกป้องอธิปไตยเช่นกัน

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกผลักขึ้นมาเรียกร้องอย่างจริงจังคือ การยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งถูกมองว่าอาจเปิดช่องให้ตีความเสียเปรียบต่อไทย ทั้งการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนอย่างถาวร หรือเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ร่วมในทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลซึ่งอุดมไปด้วยพลังงานและทรัพยากรที่มีมูลค่าสูง การคงไว้ซึ่ง MOU ที่ถูกตั้งคำถามถึงความชอบด้วยกฎหมาย อาจกลายเป็นการสูญเสียโอกาสสำคัญในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

นอกจากนี้ยังคำถามเรื่อง “ความจริงใจ ของรัฐบาล ว่าจัดการ“ฮุน เซน” แบบจริงจังหรือไม่ ที่ประกาศว่าจะดำเนินคดีแพ่งและอาญาในศาลไทย หลังจากไม่สามารถฟ้องต่อศาลโลกได้ เพราะไทยไม่ใช่สมาชิก เนื่องจากพ่อนายกฯ กัมพูชาเป็นผู้บัญชาการรบจนทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิตและทรัพย์สินเสียหาย แต่หลายเสียงมองว่าเป็นเพียงการ “เล่นตามกระแส” ก่อนจะปล่อยให้เรื่องค่อยๆ เงียบหายไป

รวมถึงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลถอดถอนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ “ฮุน เซน” สมัยเป็นนายกฯ กัมพูชา ที่ได้รับในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ เมื่อปี 2544 ซึ่งเป็นที่ทราบว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเป็นผู้เสนอขอพระราชทานเป็นกรณีพิเศษ แต่สุดท้ายกลับมาทำร้ายประเทศไทย เช่นเดียวกับข้อครหาความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของสองตระกูล “ชินวัตร-ฮุน” ที่นำมาซึ่งข้อครหาว่าเป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” จนเกิดความเสียหายและสูญเสียอย่างมหาศาล

ตราบาปเหล่านี้เป็นโจทย์ที่รัฐบาลเพื่อไทยยากจะลบล้างได้ ในเมื่อมี “สทร.” เป็นผู้ครอบงำรัฐบาล เช่นเดียวกับการทำงานของรัฐบาล นอกจากไม่สลัดเงาทักษิณแล้ว ยังเลือกใช้วิธีเบี่ยงประเด็นไปโจมตีฝ่ายตรงข้าม เช่น การเดินหน้าเพิกถอนที่ดินเขากระโดงเพื่อกลบกระแสความล้มเหลวของตัวเอง หรือการโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย สายตรงข้ามทางการเมืองอย่างแข็งกร้าว ต่างจากท่าทีต่อสู้กับกัมพูชา จนถูกประชดว่า “มะเขือเผา”

สถานการณ์ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์เชิงลบ เมื่อในช่วงที่ประชาชนยังเผชิญความไม่สงบและกังวลต่อสงคราม รัฐบาลภายใต้การนำ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ กลับมีการผลักดันให้การพนันโป๊กเกอร์ถูกกฎหมายโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้คืองานยากที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเผชิญและแก้ไขภายใต้วิกฤตศรัทธาและแรงกดดันทั้งในและนอก นักวิเคราะห์การเมืองบางส่วนประเมินว่า นี่อาจเป็นสัญญาณ “อวสานตระกูลชินวัตร” ในเร็วๆ นี้

โดยเฉพาะเมื่อคดีสำคัญกำลังนับถอยหลังเข้ามาภายในเดือน ส.ค.-ต้น ก.ย.นี้ เริ่มที่คดีของ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญกรณีคลิปเสียงอังเคิล ถือเป็นหนึ่งในจุดชี้ชะตา หลายฝ่ายมองว่ามีโอกาสเข้าข่าย “ไม่ซื่อสัตย์สุจริต” และ “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ในข้อกระทำไม่เหมาะสมแก่ “เกียรติศักดิ์ตำแหน่งผู้นำประเทศ”

ข้อแก้ต่างที่ว่า “ฮุน เซน” ไม่มีหน้าที่ในฝ่ายบริหาร อาจยากจะรับฟังได้ เพราะในความเป็นจริง แม้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา แต่ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของกัมพูชา

ส่วนข้ออ้างไม่รู้ว่าถูกอัดคลิปและไม่คาดคิดว่าจะถูกเผยแพร่ ก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีวิจารณญาณสูง และตระหนักถึงความอ่อนไหวของการสนทนาระหว่างประเทศ

ประเด็นสำคัญของคดีนี้อยู่ที่ว่า คำพูดและเนื้อหาในคลิปเหมาะสมกับฐานะผู้นำสูงสุดทางการบริหารของไทยหรือไม่ ที่ไปดูหมิ่นแม่ทัพภาคสอง และ “อังเคิลต้องการอะไรบอกมา เดี๋ยวหลานจัดให้”

หากศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย แม้วันนี้ “นายกฯ อิ๊งค์” จะไม่ลาออก แต่หากประเมินแล้วไม่รอด ก็อาจเลือกชิงลาออกก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองว่าเป็นผู้นำที่ขาดความ "ซื่อสัตย์สุจริต” และ “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” เช่นเดียวกับอดีตนายกฯ คนก่อน

ขณะที่วันที่ 9 ก.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีชั้น 14 เพื่อตัดสินว่า “ทักษิณ ชินวัตร เคยถูกจำคุกจริงหรือไม่ หลังการสืบพยานที่ผ่านมาไม่ค่อยเป็นคุณ และพบข้อพิรุธมากมายว่าอาจเป็นป่วยทิพย์ หรือนักโทษเทวดา

ฉะนั้น ศาลฎีกาฯ ชี้ว่ายังไม่เคยถูกจำคุก ก็อาจต้องกลับไปติดคุกของจริง การขอพักโทษที่ทำไปก่อนหน้านั้นก็จะกลายเป็นโมฆะหรือไม่ เว้นแต่เจ้าตัวจะเลือกใช้วิธีหลบหนีคดีไปต่างประเทศซ้ำเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา และปล่อยให้บริวารลิ่วล้อติดคุกแทน

หากฉากทัศน์ของนายกฯ และพ่อนายกฯ เป็นดังที่ประเมินไว้ นอกจากปิดฉากเส้นทางการเมืองของ “ตระกูลชินวัตร” แล้ว แรงสั่นสะเทือนยังกระทบไปถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เข้าสู่โหมดล่มสลายหรือแพแตกเช่นกัน.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...