ไม่เลี้ยงแล้วหมา-แมว คนเจนใหม่หันเลี้ยง “สัตว์เอ็กโซติค”
กระแสคนรุ่นใหม่ “เลี้ยงสัตว์แทนลูก” หนุนอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทยโตเฉลี่ยปีละ 4-5% สัตว์เอ็กโซติค ขึ้นแท่นดาวรุ่งเพราะเลี้ยงง่าย ไม่รบกวนไลฟ์สไตล์ เป็นตัวเลือกของคนเมืองที่ไม่อยากมีภาระ คาดเป็นโอกาสธุรกิจใหม่ตั้งแต่อาหาร อุปกรณ์ ไปจนถึงบริการแพทย์เฉพาะทาง หนุนผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงแข่งเดือด ผุดแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้น 300%
นายนิติพงศ์ เลาหวิศิษฏ์ กรรมการ สมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย (TPIA) เปิดเผยว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงปี 2568–2569 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4–5% แม้จะไม่หวือหวาเหมือนช่วงโควิด แต่สะท้อนถึงการเข้าสู่สมดุลใหม่ที่มั่นคงขึ้น เพราะผู้บริโภคจำนวนมากมองว่าสัตว์เลี้ยงคือสมาชิกในครอบครัว ทำให้การใช้จ่ายด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสัตว์เลี้ยงยังคงมีทิศทางเติบโต
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นสมรภูมิหลัก โดยในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์อาหารสัตว์ไทยเพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 100 แบรนด์ สู่กว่า 400 แบรนด์ เติบโตขึ้น 4 เท่า (หรือเพิ่มขึ้น 300% จากฐานเดิม) ขณะที่ร้านค้าสัตว์เลี้ยงทั่วประเทศขยายตัวมากกว่า 4–5 เท่า แม้การแข่งขันที่ดุเดือดทำให้ผู้เล่นรายเดิมขยายตัวช้าลง แต่ก็สะท้อนฐานผู้บริโภคที่ขยายกว้างและความต้องการในตลาดที่ยังแข็งแรง
ตลาดสัตว์ Exotic มาแรง ดันผู้เลี้ยง-ฟาร์มใหม่คึกคัก
ด้านนายปวัฒน์ อัจจมาลย์วรา นายกสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ (TEPA) ระบุว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ (Exotic Pet) ในไทยเติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จากตลาดเฉพาะกลุ่ม สู่ความนิยมที่กว้างขึ้น มีผู้เลี้ยงและฟาร์มใหม่เกิดขึ้นมาก โดยสัตว์ยอดนิยมครอบคลุมทั้ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก (หนู กระต่าย เฟอเร็ต ชูการ์ไกลเดอร์ แรคคูน), สัตว์ปีก (นกแก้วมาคอว์ นกกระตั้ว นกซันคอนัวร์), สัตว์เลื้อยคลาน (งู เต่า) รวมถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและแมงมุมทารันทูล่า
ปัจจัยหนุนความนิยมคือสัตว์ Exotic มักเลี้ยงง่าย ไม่รบกวนไลฟ์สไตล์ และมีอายุยืน แต่ยังเผชิญต้นทุนสูงจากการจัดสภาพแวดล้อมและการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลสัตว์และสัตวแพทย์เฉพาะทางสำหรับสัตว์พิเศษที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความต้องการบริการที่เป็นระบบมากขึ้น
ปัจจุบันไทยไม่เพียงนำเข้าสัตว์หายาก แต่ยังสามารถเพาะพันธุ์ Exotic ได้เองครอบคลุม 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์ปีก เต่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดที่ยังน่าจับตา
อิมแพ็คฯ ปักหมุด “Pet Variety 2025” ยกระดับสู่ Lifestyle Pet Exhibition
นางสาวกุลวดี จินตวร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เพื่อตอบรับเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง งาน “สมาร์ทฮาร์ท พรีเซนต์ส ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ท วาไรตี้ เอ็กซิบิชั่น 2025” ครั้งที่ 15 จึงกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่ในธีม “Retro K-Style - ANNYEONG เพื่อนรักตะลุยเกาหลี” พร้อมยกระดับจากงานแสดงสินค้าสัตว์เลี้ยงทั่วไปสู่ Lifestyle Pet Exhibition แบบครบวงจร ที่รวมทั้งสินค้า บริการ โซนสุขภาพ แฟชั่น คาเฟ่ กิจกรรมโชว์ การแข่งขัน และโซนสัตว์ Exotic หายาก เพื่อตอบโจทย์ทั้ง Gen Z Pet Parents, ครอบครัวคนรุ่นใหม่ และกลุ่ม Exotic Lovers ที่กำลังขยายตัวในไทย
ปัจจุบันเจ้าของสัตว์เลี้ยงมองสัตว์เสมือน “สมาชิกครอบครัว” ทำให้งานปีนี้ถูกออกแบบให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซนสุขภาพและประกันสัตว์เลี้ยง โซนคาเฟ่และช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์ ตลอดจนกิจกรรมแข่งขันและแฟชั่นโชว์ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ภายใต้บรรยากาศเกาหลีย้อนยุค (Retro K-Style) ที่สอดรับกับกระแส K-Culture ซึ่งยังคงได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ
จุดเด่นของงานคือการผสมผสานแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และความน่ารักของสัตว์เลี้ยงเข้าด้วยกัน สร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนได้ “พาสัตว์เลี้ยงมาเที่ยวงานแฟร์” มากกว่าการมาซื้อสินค้า แตกต่างจากงานสัตว์เลี้ยงทั่วไปอย่างชัดเจน
สำหรับปีนี้ อิมแพ็คตั้งเป้าดึงผู้เข้าร่วมงานกว่า150,000 คน และ เงินสะพัดกว่า 60 ล้านบาท ตลอด 4 วัน คาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจสัตว์เลี้ยง SMEs โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงบริการ Pet Friendly
อีกทั้งยังวางรากฐานให้ Pet Variety เติบโตสู่การเป็น Lifestyle Platform และ Community Hub ของคนรักสัตว์เลี้ยง ตอกย้ำความเป็นเวทีสร้างรายได้และโอกาสใหม่ทั้งด้านการค้า การแข่งขัน และการต่อยอดอาชีพในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง