กฎหมายโลกร้อน จ่อสร้างงาน 50,000 ตำแหน่งใน 3 ปี เสี่ยงขาดแคลนแรงงานสิ่งแวดล้อม
คาดพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน)ปี 2569 สร้างดีมานด์บุคลากรสายสิ่งแวดล้อมสูงถึง 50,000 ตำแหน่งภายใน 3 ปี GCC เตือนปัญหาขาดแคลนแรงงานผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะกลุ่มผู้ตรวจสอบและทวนสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เร่งร่วมมือกับสถาบันการศึกษา พัฒนาหลักสูตรเพื่อผลิตบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยตรง หวังบรรเทาปัญหากำลังคนที่จำกัด
นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (GCC) เปิดเผยว่า การเตรียมบังคับใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่คาดว่าจะมีผลในปี 2569 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกฎหมายจะนำมาซึ่งความต้องการบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติการและผู้เชี่ยวชาญ
พ.ร.บ.โลกร้อน: กลไกขับเคลื่อนสู่ยุคอาชีพใหม่
GCC ประเมินว่า ตลาดแรงงานไทยจะมีความต้องการบุคลากรในสายสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นกว่า 50,000 ตำแหน่ง ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มงานหลัก ดังนี้:
- กลุ่มงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร: เช่น เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม/สังคม/ธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นตำแหน่งที่บริษัทขนาดใหญ่และบริษัทมหาชนเริ่มเปิดรับแล้ว
- กลุ่มที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก: เช่น ที่ปรึกษาการประเมินก๊าซเรือนกระจก ที่ปรึกษาความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Mitigation และ Adaptation) นักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืน และเจ้าหน้าที่โครงการพลังงานหมุนเวียน
- กลุ่มงานตรวจสอบและทวนสอบรายงานการประเมินก๊าซเรือนกระจก (Validator/Verifier): ทำหน้าที่คล้ายผู้ตรวจสอบบัญชี (Audit) แต่เน้นการตรวจสอบรายงานสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทต่างๆ โดยตรง
- กลุ่มงานการจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต: เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดบัญชีคาร์บอนเพื่อการชดเชย และผู้จัดการด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ความเสี่ยงขาดแคลนบุคลากรผู้ตรวจสอบ
นายตรีเทพ แสดงความกังวลว่า อาจเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ตรวจสอบ (Validator) และ ผู้ทวนสอบ (Verifier) เนื่องจาก นิติบุคคลกว่า 800,000 รายทั่วประเทศ จะต้องทำการประเมิน บันทึกการปล่อย คาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เข้ามาดูแลต่อเนื่องทุกปี
ปัจจุบัน ข้อมูลชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ:
- ที่ปรึกษา (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล): มีเพียง 530 กว่าราย
- ผู้ตรวจสอบ/ผู้ทวนสอบ: มีเพียงระดับ 100 กว่าราย
- บริษัทผู้ตรวจสอบและทวนสอบ (VB/VVB) ที่ได้รับการรับรองในไทย: มีเพียงประมาณ 20 กว่าบริษัทเท่านั้น
สถานการณ์ความขาดแคลนบุคลากรนี้คล้ายคลึงกับหลายประเทศในกลุ่ม EU, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ที่บังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นแล้ว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการ กระจุกตัวของการดำเนินการ โดยเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจที่ปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) สูงสุด ซึ่งมีประมาณ 140,000 กว่าราย (อาทิ ธุรกิจก่อสร้าง, ร้านอาหาร, การผลิต/ขายส่งเครื่องจักร, ขนส่ง, โรงแรม)
หากบุคลากรในกระบวนการประเมิน จัดทำบัญชี และตรวจสอบทวนสอบไม่เพียงพอ ย่อมนำมาซึ่งความล่าช้าในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศไทยปรับเป้าหมาย Net Zero จากเดิมปี 2065 ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050
GCC จับมือสถาบันการศึกษาเร่งผลิตบุคลากร
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานและบรรเทาปัญหาความขาดแคลน GCC จึงได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการพัฒนาบุคลากร โดยร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ดังนี้:
- พัฒนาหลักสูตรปริญญาตรี: จัดทำหลักสูตรด้าน Carbon Footprint - Net Zero ในระดับชั้นปีที่ 3-4 สาขาวิทยาการจัดการนวัตกรรมทางธุรกิจ/การจัดการธุรกิจแบบบูรณาการ คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรที่มีทักษะวิชาการและความเข้าใจเชิงปฏิบัติในอาชีพที่ปรึกษาและผู้ตรวจสอบ/ทวนสอบก๊าซเรือนกระจก คาดว่าจะสามารถผลิตบุคลากรได้กว่า 300 คนต่อปี
- หลักสูตรเร่งรัดระยะสั้น: จัดหลักสูตรภายใต้ “GCC – RMUTT – RMUTI Academy” ทั้งแบบเร่งรัด 1 วัน และแบบเจาะลึก 2 วัน เพื่ออบรมและยกระดับองค์ความรู้ด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก การบันทึกและรายงานที่ถูกต้อง ให้แก่องค์กร นักศึกษา และประชาชนทั่วไป
นายตรีเทพ ย้ำว่า การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพจะเป็น แรงขับเคลื่อนสำคัญ ในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างกฎหมาย มาตรการ และการปฏิบัติจริงในทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยยกระดับศักยภาพแรงงานไทยให้พร้อมแข่งขันในระดับสากล