โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

จุดเปลี่ยนอาชีพโสเภณี จากอยู่ประจำสำนัก สู่ขายบริการตามแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 05 พ.ค. 2566 เวลา 10.21 น. • เผยแพร่ 05 พ.ค. 2566 เวลา 10.19 น.
โรงแรมโทรคาเดโร สถานบันเทิงยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ (ภาพจาก วิลาส บุนนาค 1910-2000. กรุงเทพฯ, 2000 ใน

นับแต่การพัฒนาบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาซึ่งได้เปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทยจากริมแม่น้ำคูคลอง มาสู่ถนนหนทางต่าง ๆ ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ยามราตรีจึงไม่ได้เงียบสงัดวังเวงเหมือนในยุคก่อนหน้านี้ เนื่องจากคนไทยเริ่มออกมาใช้ชีวิตในยามค่ำคืนกันมากขึ้น จนเข้าสู่ทศวรรศที่ 2420-2480 เกิดอาชีพการให้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พนักงานจุดโคมตะเกียงตามถนน พนักงานขับรถราง คนฉายภาพยนตร์ รวมไปถึงโสเภณี

โดยอาชีพนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งสัมพันธ์กับกาารเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตในยามค่ำของคนไทย คือ แต่เดิมโสเภณีจะให้บริการเฉพาะอยู่ประจำสำนักหรือละแวกโรงบ่อนการพนัน แต่เมื่อแหล่งสถานบันเทิงเริงรมย์ในยามค่ำคืนถือเกิดขึ้นมากมาย ทำให้โสเภณีต้องปรับตัว เรื่องนี้ วีระยุทธ ปีสาลี เขียนไว้ใน “กรุงเทพฯ ยามราตรี” (สำนักพิมพ์มติชน, 2557) ดังนี้

ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2460-2480 ได้เกิดอาชีพใหม่ที่เป็นตัวกำหนดความเป็นเมืองกลางคืนคืออาชีพบริการที่ให้ความบันเทิงทางกามารมณ์แบบตะวันตกตามสถานเริงรมย์ต่าง ๆ กระนั้นก็ตาม อาชีพบริการที่ให้ความบันเทิงทางกามารมณ์แบบดั้งเดิมคือโสเภณีใน 3 ทศวรรษนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากที่เคยประจำอยู่ตามสำนักต่าง ๆ ที่สำเพ็งและละแวกโรงบ่อน เริ่มทยอยออกมาสู่ท้องถนนและทางสัญจรสาธารณะปะปนกับผู้คนที่ออกมาแสวงหาความสำราญในยามราตรี ดังที่ ธเนศ วงศ์ยานนาวา แสดงทัศนะไว้ว่า

“ถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเมืองเมื่อถูกซ้อนทับด้วยธุรกิจขายบริการบนท้องถนนจึงยิ่งสะท้อนภาพความเป็นเมืองได้ดียิ่งขึ้น โดยทั่ว ๆ ไปแล้วการค้ากามเป็นธุรกิจแห่งความเป็นเมือง นับตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา การขยายตัวของเมืองและการค้าทำให้เกิดผู้คนที่หากินตามท้องถนนมากขึ้น พอถึงช่วงปี พ.ศ. 2460 กว่าเป็นต้นมา ผู้หญิงขายบริการก็สร้างความสมบูรณ์ให้กับความเป็นเมืองอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามเมือง หนังสือพิมพ์ ในสมัยนั้นถึงขั้นกล่าวว่าทุก ๆ หนึ่งในสิบของถนนหรือตรอกซอกซอยในกรุงเทพฯ จะต้องมีซ่องโสเภณีตั้งอยู่ ถนนที่ดัง ๆ ก็ได้แก่ ถนนราชดำเนิน” [77]

เช่น สี่แยกถนนราชดำเนินตัดกับถนนดินสอ เมื่อก่อนนั้นเงียบเหงามีผู้คนไม่มากนัก จนทศวรรษที่ 2460 ได้มีผู้ไปเช่าที่ปลูกบ้านเรือนจนเต็มไปหมด ปรากฏเป็นที่ประชุมชนมีร้านขายของตั้งขึ้นหลายร้านและเวลากลางคืนดึก ๆ ก็มีพวกหญิงนครโสเภณีเถื่อน มานั่งลอยโฉมอยู่อย่างชุกชุม [78]

ไม่เพียงแค่ถนนเท่านั้น หญิงโสเภณียังแอบแฝงขายบริการอยู่ตามแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนของเมือง ได้แก่ โรงภาพยนตร์ สถานกินดื่มสาธารณะ สถานเริงรมย์ สวนลุมพินี เขาดิน ที่พักคนเดินทางหรือโรงแรม

ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ เรียกโสเภณีที่ไปแอบแฝงขายบริการตามสถานที่เหล่านี้ว่าเป็นโสเภณีในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (พ.ศ. 2464-2487) กล่าวคือ เป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างโสเภณี แบบเก่าที่สำเพ็ง (พ.ศ. 2411-2463) กับโสเภณีแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกา (พ.ศ. 2488-2503) เหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโสเภณีในยุคนี้ได้แก่ ความต้องการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้แก่รัฐบาล และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และค่านิยมสมัยใหม่ ๆ [79]

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรูปแบบของอาชีพโสเภณี เริ่มตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 2450 ดังปรากฏข่าวการพลุกพล่านของหญิงโสเภณีตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ อย่างโรงหนังญี่ปุ่น ที่พักคนเดินทาง ร้านน้ำชากาแฟ และโรงยาฝิ่น ในหนังสือพิมพ์ สยามออบเซอรเวอร ว่า

“เราได้ทราบข่าวว่า เวลานี้ตัวกามโรคเที่ยวพลุกพล่านมากตามแถวหลังโรงหนังญี่ปุ่นหลวง ถึงกับฉุดคร่าชวนชายไปสมสู่ พลตำรวจบางคนเห็นเข้าก็ห้ามปราม แต่บางคนก็เห็นเป็นสนุกหัวเราะเล่น ใช่แต่เท่านั้น พวกหญิงตามที่พักคนเดินทางก็เลี่ยงกฎหมายได้อยู่มาก และใครก็รู้ว่าเป็นที่พักของตัวกามโรค ใช่ว่าจะเป็นที่พักคนเดินทางจริงก็เปล่าอีก พูดเรื่องตัวกามโรค ก็ควรพูดต่อไปอีก พวกร้านเจ๊กขายกาแฟกวางตุ้งและโรงสูบฝิ่นก็มีผู้หาหญิงไปคอยนั่งอยู่หน้าประตูให้เรียกคน บางโรงถึงกับฉุดจะให้เข้าไปสูบฝิ่นหรือกินกาแฟก็มี แต่ฉุดเฉพาะพวกจีนกวางตุ้งพวกเดียวกัน ไม่ลามปามเหมือนหญิงไทย ซึ่งไม่เลือก” [80]

รูปแบบการขายบริการโสเภณีในทศวรรษที่ 2460-2480 มีความซับซ้อนเพราะได้ซ่อนตัวอยู่ในอาชีพอื่น ๆ เช่น หญิงบริกรตามโรงน้ำชาและโรงยาฝิ่น หมอนวดตามที่พักคนเดินทาง และหญิงคู่เต้นรำตามสถานเริงรมย์ (Partner) เช่นเดียวกับหญิงโสเภณีในฮ่องกง ในระยะเดียวกันที่เมื่อมีข้อห้ามการค้าโสเภณีในปี ค.ศ. 1935 โสเภณีราคาเริ่มตกและเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหญิงนักร้อง (Singsong Girls) หมอนวด หญิงนั่งคุยกับแขก (Escort Girls) และคู่เต้นรำตามสถานเริงรมย์ [81] สถานเริงรมย์ยามค่ำคืนของเมืองที่รุ่งเรืองในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงเป็นสถานที่ที่หญิงโสเภณีเข้าไปใช้ทำมาหากินเป็นจำนวนมาก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เชิงอรรถ :

[77] ธเนศ วงศ์ยานนาวา. “ดอกไม้โลกีย์ ราคีมีแค่สตางค์,” ใน อรสมสุทธิสาคร. ดอกไม้ราตรี สินค้ามีชีวิต. (กรุงเทพฯ : สารคดี, 2545), น. 9-10.

[78]“ข่าวเบ็ดเตล็ด,” สยามราษฎร์. (วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2464) : 5.

[79] ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์.“โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503,” น. 90-131.

[80] “หลุกพล่านมาก,” สยามออบเซอรเวอร. (วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2458). อ้างใน ปียกนิฎฐ์ หงษ์ทอง. สยามสนุกข่าว, น. 201.

[81] CHENG Po Hung. Early Prostitution in Hong Kong. Translated of 香江風月 by Philip MAK, Annie CHOW Mo Oi, Jane SZE Kwan Yuk (Hong Kong) : University Museum and Art Gallery, The University of Hong Kong, 2010), p. 10.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 กันยายน 2564

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...