สงครามอิสราเอล–อิหร่าน จุดเริ่มต้นภัยสิ่งแวดล้อมตะวันออกกลาง
หนึ่งสัปดาห์หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายหลายจุดในอิหร่าน ด้วยข้ออ้างเพื่อยุติโครงการนิวเคลียร์ ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศได้ลุกลามจากมิติการทหารสู่การก่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ซึ่งอาจกลายเป็นชนวนของภัยด้านสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคตะวันออกกลาง
แม้ประเด็นเริ่มต้นจะอยู่ที่ความเสี่ยงต่อสถานที่นิวเคลียร์ เช่น โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในนาทานซ์และฟอร์โดว์ แต่การโจมตีกลับลุกลามไปยังโรงกลั่นน้ำมัน โครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน ฐานทัพขีปนาวุธ สนามบิน และสถานที่ทางทหารหลายแห่ง ซึ่งล้วนมีสารเคมีอันตรายและเชื้อเพลิงที่เมื่อถูกทำลายจะปลดปล่อยมลพิษสู่ดิน น้ำ และอากาศ
ในฝั่งอิหร่าน การโจมตีทำให้โรงกลั่นน้ำมันเตหะรานเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ พร้อมกับคลังเชื้อเพลิงชาห์รานที่ถูกไฟลุกไหม้ถังน้ำมัน 4 ใบ ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันและคราบน้ำมันตกค้าง แม้จะมีแนวคันดินช่วยควบคุมไม่ให้รั่วไหล แต่ความเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชนในเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาอย่างเตหะรานยังคงสูง เนื่องจากอากาศหมุนเวียนได้ยาก
ขณะเดียวกัน โรงแยกก๊าซขนาดใหญ่ของอิหร่านที่แหล่ง South Pars ก็ได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกับศูนย์แปรรูปก๊าซ Fajr Jam ที่มีพืชพรรณบริเวณใกล้เคียงถูกเผาทำลาย แสดงให้เห็นว่าความเสียหายเริ่มลามจากโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ระบบนิเวศโดยรอบ
ขีปนาวุธที่ใช้ในสงคราม
โดยเฉพาะชนิดเชื้อเพลิงเหลว เช่น ที่ใช้ไฮดราซีนและกรดไนตริก มีพิษสูงและจัดการได้ยาก การโจมตีคลังขีปนาวุธและฐานทัพ เช่น ที่เคอร์มานชาห์และโคฮิจีร์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้และสารตกค้างที่อาจรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม
แม้ในฝั่งอิสราเอล ระบบป้องกันจะสามารถสกัดขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้ แต่ก็มีบางส่วนตกลงในพื้นที่พลเรือน เช่น การโจมตีโรงกลั่นบาซานและโรงไฟฟ้าในเมืองไฮฟา ที่ก่อให้เกิดไฟไหม้และความเสียหายต่อระบบพลังงาน ทำให้อิสราเอลต้องปิดแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งบางส่วนชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงการผลิตปุ๋ยในอียิปต์
การโจมตีที่สำนักงานใหญ่ Mossad ยังพาดพิงถึงโรงบำบัดน้ำเสียในเมืองเฮิร์ซลียา ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนน้ำในพื้นที่ชุมชน ขณะที่อาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัยที่เสียหายบางส่วนยังมีแร่ใยหิน (แอสเบสตอส) ตกค้าง ซึ่งแม้จะถูกแบนในอิสราเอลตั้งแต่ปี 2011 แต่ก็ยังพบแผ่นซีเมนต์ที่มีแร่ใยหินมากกว่า 100 ล้านตารางเมตรตกค้างอยู่
ขีปนาวุธพิสัยกลางที่ถูกยิงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อาจปล่อยสารอย่างอะลูมิเนียมออกไซด์ เขม่าดำ และสารทำลายชั้นโอโซนอื่น ๆ ที่สะสมในบรรยากาศชั้นบน ซึ่งไม่มีฝนหรือลมช่วยชะล้าง การสกัดขีปนาวุธด้วยระบบป้องกันเช่น THAAD ก็อาจปลดปล่อยสารพิษเพิ่มเติม เช่น เพอร์คลอเรต ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพหากตกลงสู่ชั้นบรรยากาศต่ำ
สงครามยังส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ สุขาภิบาล และไฟฟ้าของอิหร่าน เช่น การโจมตีโรงไฟฟ้าในเมืองการาจ การหยุดชะงักของการจ่ายไฟ และความเสี่ยงจากไซเบอร์แอทแทกต่อโครงข่ายพลังงานที่พึ่งพาก๊าซธรรมชาติถึง 80% ของประเทศ
ในทะเลอ่าวเปอร์เซียเริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หลังเกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมันชนกันเมื่อ 17 มิถุนายน และเกิดคราบน้ำมันยาวถึง 8 กิโลเมตร สื่อหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับการรบกวนสัญญาณ GPS จากสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากมีการโจมตีแท่นขุดเจาะหรือเรือบรรทุกน้ำมันในอนาคต อาจก่อให้เกิดหายนะทางสิ่งแวดล้อมในทะเลที่รุนแรงกว่าที่เห็นในปัจจุบัน