โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เจาะลึก 5 โจทย์หินธุรกิจไทยปี 69 SCB EIC แนะกลยุทธ์ปรับตัวรับ Mega trends

Manager Online

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองว่า ในปี 2569 ภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจ

SCB EIC ได้วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 69 และในระยะกลาง ประกอบด้วย

1) การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่ามกลางความผันผวนทางการค้าที่รุนแรงขึ้น กอปรกับความไม่แน่นอนของทิศทางการลงทุน

ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้ากำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ถุงมือยาง และสิ่งทอ

ซึ่งมีตลาดสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ แม้สัดส่วนการส่งออกจะต่ำกว่า แต่ยังถูกท้าทายจากความได้เปรียบเชิงภาษีของคู่แข่ง

ในกลุ่มความตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา (USMCA) นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องและภาคบริการก็เสี่ยงจะเผชิญผลกระทบทางอ้อมจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ และโรงแรม ส่วนธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แม้ผลกระทบทางตรงจะจำกัด แต่ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การจ้างงานที่อาจชะลอลง ตลอดจนปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและต้นทุนทางการเงิน ขณะเดียวกัน ทิศทางการลงทุนจากต่างชาติเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา เพราะถือเป็นทั้งโจทย์ความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจไทยในการเชื่อมต่อและดึงดูดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต

2) ความเปราะบางของกำลังซื้อครัวเรือนที่ฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะกดดันการฟื้นตัวของบางธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ และยานยนต์

ความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อที่ยังมีแนวโน้มคงอยู่ต่อเนื่องในปี 69 ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของบางกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยและสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ที่จะยังคงฟื้นได้ช้าและยังต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในระยะข้างหน้า สะท้อนได้จากผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการจำเป็น เช่น ค้าส่งค้าปลีกในกลุ่ม Grocery อาหารและเครื่องดื่ม และคมนาคม ยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ สะท้อนจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก

3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายภาครัฐจะกระทบธุรกิจกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนภาครัฐ

หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 68 ส่งผลให้ในปี 69 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2570 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มาก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงของการหยุดชะงักหรือความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้ อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบต่อการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ ต.ค. 69 จะส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพาการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐานและก่อสร้าง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีส่วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ กระทบแผนการลงทุน ขณะที่หนี้สาธารณะมีแนวโน้มแตะ 70% หากไม่ปรับแผนการคลัง จะจำกัดการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการอุดหนุนในบางอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะยังคงมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจาก New engine of growth ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับบางกลุ่มธุรกิจ เช่น เกษตรสมัยใหม่และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy)

4) ธุรกิจไทยเผชิญการแข่งขันรุนแรงทั้งในประเทศและตลาดโลก แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายธุรกิจยังมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ SME เปราะบางมากขึ้นและยังถูกซ้ำเติมจากผู้เล่นต่างชาติมากขึ้น

แม้ภาพรวมการแข่งขันภายในประเทศของภาคธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า SMEs จากฐานลูกค้ากว้าง ต้นทุนต่ำ และการเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยี ขณะที่ SMEs สูญเสียส่วนแบ่งรายได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม, ค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ นอกจากนี้ ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีน เช่น กลุ่มเหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ ยังคงกดดันภาคการผลิตไทยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดโลกก็มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ทั้งด้านราคา คุณภาพ และแบรนด์ สะท้อนได้จากอัตรากำไรที่ลดลง ทั้งนี้แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน แต่ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, ค้าส่งค้าปลีก, อิเล็กทรอนิกส์, คมนาคมขนส่ง, อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากไทยไม่เร่งลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า จะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันและเสี่ยงปิดกิจการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ SME

5) ธุรกิจไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและกดดันมากขึ้น ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงประเด็นด้านความยั่งยืน

โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย สร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะกลุ่ม ขณะเดียวกัน พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและสุขภาพ เปิดโอกาสให้ธุรกิจอาหารทางเลือก และบริการรองรับไลฟ์สไตล์อิสระยังเติบโตได้ดี ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ อย่างเช่น Subscription หรือ AI solutions และส่งผลให้ธุรกิจดั้งเดิมต้องเร่งลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง นอกจากนี้ การเร่งเป้าหมาย Net zero ของไทยจากปี 2608 มาเป็นปี 2593 จะเพิ่มแรงกดดันต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น (Climate mitigation) แต่ภาคธุรกิจยังมีแรงกดดันในการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate adaptation) อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งของความท้าทาย ก็ยังเปิดโอกาสให้หลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจในห่วงโซ่พลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจจัดการของเสีย และวัสดุฐานชีวภาพ ซึ่งหากภาคธุรกิจต่าง ๆ ไม่เร่งปรับตัวก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

แม้หลายธุรกิจที่เผชิญความเสี่ยงจะเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง แต่บาง Subsegment สามารถเติบโตได้หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends

ธุรกิจที่ปรับตัวช้าหรือไม่พร้อมตอบโจทย์โลกยุคใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลก ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ไม่สอดรับโครงสร้างประชากรใหม่ ไม่ปรับตัวตาม Mega trends หรือแนวทางความยั่งยืน ธุรกิจที่ไม่มีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มกลายเป็น Sunset segment รายได้และมาร์จินลดลงต่อเนื่อง และเสี่ยงทยอยหายไปจากตลาด หากไม่เร่งปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ ขณะที่บาง Subsegment หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends ได้ จะสามารถคว้าโอกาสเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่แม้ว่าจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง แต่หากสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก อย่างเช่นด้าน AI ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ หรือกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ที่ยังมีโอกาสหากสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อย่างเช่น ผลิตสินค้าเกษตรที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน Smart agriculture หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็น Functional food และ Medical food เป็นต้น

*กลยุทธ์ READY รับมือความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่

SCB EIC เสนอกลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้านและคว้าโอกาสใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า ดังนี้

R-Repositioning : การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพัฒนาสินค้า/บริการให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีนวัตกรรมและมีคุณภาพสูงเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกัน ต้องมีการกระจายตลาดและมองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และลดความเสี่ยงจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานสะดุด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรประเมินศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจให้สอดคล้องกับ Mega trends และ Supply chain ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนปรับกระบวนการทางธุรกิจ ได้แก่ รูปแบบการทำงานแบบ Agile management ให้ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง หรือการนำแนวคิด Lean operations ที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ

E-ESG principle : การวาง ESG roadmap ให้ชัดเจนและผนวกเป้าหมายกับกลยุทธ์องค์กร รวมไปถึงการยกระดับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับ Circular economy และ Low-carbon Lifestyle โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและลดการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกัน ยังต้องปรับตัวให้สอดรับกับกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวกับ ESG ทั้งนี้นอกจากการวาง Roadmap ขององค์กรไปสู่ความยั่งยืนแล้ว หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืนได้แล้ว ก็สามารถคว้าโอกาสหันไปเจาะตลาดที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนได้มากขึ้นด้วย อาทิ ตลาด EU ที่มีการบังคับใช้มาตรการกีดกันการค้าที่เข้มงวดสำหรับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ๆ หรือลูกค้ากลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

A-Alliance : การสร้างพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดต้นทุน โดยสามารถร่วมกันพัฒนาสินค้า จับกลุ่มเป็นคลัสเตอร์เพื่อขยายตลาดและเพิ่มอำนาจต่อรอง หรือสร้างแพลตฟอร์มใหม่เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การสร้างพันธมิตรจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังอาจหาพันธมิตรหรือมีการควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ ๆ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายและพัฒนานวัตกรรม แต่ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรหรือระบบโลจิสติกส์ รวมถึงการทำการตลาดร่วมกัน ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และมีเงินทุนเหลือสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านอื่น ๆ ในอนาคต

D-Digitalization : ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เช่น AI, ระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

โดยผู้ประกอบการควรเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านดิจิทัลเข้ากับเป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร อีกทั้ง อาจใช้ประโยชน์จาก Digital channel มากขึ้น เช่น ใช้ Omni-channel เพื่อเชื่อมโยงการบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และเข้าใจลูกค้าให้ลึกและละเอียดขึ้นกว่าเดิม ซึ่งข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อออกแบบพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงทำโพรโมชันที่ตอบโจทย์และตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับเทรนด์การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และมีส่วนช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand loyalty)

Y-Youthfulness : สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ มีความกระตือรือร้น คล่องตัวสูง และพร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เปิดรับความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กรเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงจัดทำแผน Reskill/Upskill พนักงาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี อีกทั้ง อาจมีการ Diversify ไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว โดยอาจสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีในการสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติม

ในขณะที่ผู้ประกอบการกำลังเร่งปรับตัว ภาครัฐยังมีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ในการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจโดยดำเนินมาตรการเชิงรุก โดย ระยะสั้น ต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านนโยบายที่ชัดเจน รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและเปิดตลาดใหม่ สนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย พร้อมเพิ่มสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และปรับโครงสร้างหนี้ SMEs เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น รวมถึงยกระดับมาตรการความปลอดภัยดิจิทัลและการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและนักลงทุน สำหรับ ระยะกลาง-ยาว ควรมุ่งเน้นผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และดิจิทัล ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก ขณะเดียวกัน มุ่งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ยังมีศักยภาพ แต่อาจประสบปัญหาเชิงโครงสร้าง สามารถพลิกฟื้นและอยู่รอดได้ในสนามการค้าที่แข่งขันรุนแรง โดยใช้เครื่องมือสำคัญ อาทิ การสนับสนุนยกระดับนวัตกรรม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะใหม่ การปรับปรุงนโยบายการลงทุน การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ และมุ่งเน้นขจัดอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและอย่างยั่งยืนในระยะยาว

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...