สมรสเท่าเทียม เมนส์มาลาได้ กฎหมายลาคลอด หมุดหมายแห่งความหวัง และก้าวใหม่ของไทย
สมรสเท่าเทียม เมนส์มาลาได้ กฎหมายลาคลอด หมุดหมายแห่งความหวัง และก้าวใหม่ของไทย
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังตั้งคำถามต่อคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ และศักดิ์ศรี ประเทศต่างๆ ถูกท้าทายให้เลือกว่าจะยืนอยู่ฝั่งใดของประวัติศาสตร์ ฝั่งที่ยึดมั่นกับกรอบเดิม หรือฝั่งที่กล้าปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายได้ดำรงอยู่อย่างเท่าเทียม ความหมายของคำว่า “สิทธิ” และ “ความเท่าเทียม” มิได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในเอกสารทางกฎหมาย หากแต่เป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตยที่มุ่งยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศสภาพ เพศวิถี หรือบทบาทในครอบครัวเช่นไร
ซึ่งประเทศไทยกำลังก้าวไปอีกขั้น บนเส้นทางที่ยอมรับความแตกต่าง และมองมนุษย์อย่างเข้าใจมากขึ้นผ่าน “ร่างกฎหมาย” หลายฉบับ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางความคิดของสังคมไทย จากแต่ก่อนที่หลายคนมอง “ความแตกต่าง” เป็นเรื่องต้องหลบซ่อน สู่การยอมรับว่า ความหลากหลายคือความจริงของมนุษย์ และความหลากหลายเหล่านั้น ควรได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรม
กฎหมายสมรสเท่าเทียม นโยบายเมนส์มาลาได้ และกฎหมายลาคลอดฉบับใหม่ คือสามภาพสะท้อนของกระบวนการนี้ กระบวนการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากสั่งสมจากการต่อสู้ ความพยายาม และเสียงเรียกร้องของผู้คนจำนวนมาก ที่ต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
- สมรสเท่าเทียม : การเดินทางอันยาวนานของความรักและศักดิ์ศรี
หากจะมีกฎหมายฉบับใดที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยได้ชัดเจนที่สุด “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” คงเป็นหนึ่งในนั้น เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสถานะทางกฎหมาย หากแต่คือการยอมรับตัวตนของผู้คนที่ครั้งหนึ่ง “ไม่เคยมีใครมองเห็น”
แนวคิดเรื่องสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย ปรากฏขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ทว่าบริบทของสังคมในขณะนั้นยังไม่พร้อมจะเปิดรับ ความรักของคู่รักเพศเดียวกันยังถูกมองเป็นเรื่องนอกกรอบ และกฎหมายก็ยังไม่อาจก้าวนำความคิดของสังคมไปได้ ความฝันเรื่องความเท่าเทียมจึงถูกพับเก็บไว้
เวลาผ่านไปกว่าสิบปี ในปี 2555 เมื่อคู่รักเพศหลากหลายพยายามจดทะเบียนสมรสแต่ถูกปฏิเสธ เหตุการณ์นี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะมันทำให้คำถามเรื่องสิทธิและความเสมอภาคถูกตั้งขึ้นอย่างจริงจังในพื้นที่สาธารณะ การร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐ และการขับเคลื่อนของภาคประชาชน นำไปสู่การพยายามร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้กฎหมายคู่ชีวิตจะถูกมองว่าเป็นก้าวแรก แต่ก็สะท้อนความพยายามของรัฐในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารในปี 2557 ได้หยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดลงอีกครั้ง ทำให้เรื่องสมรสเท่าเทียมต้องเผชิญกับความเงียบงัน
กระทั่งปี 2563 กระแสการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนได้ปลุกประเด็นนี้ให้กลับมาอีกครั้ง“พรรคก้าวไกล” ที่ในขณะนั้น ยื่นร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา และได้รับการบรรจุวาระแรก ความหวังเริ่มกลับมา แม้ในปี 2565 ร่างกฎหมายจะผ่านวาระที่ 1 แต่ความไม่เสถียรของการเมือง และการประชุมสภาที่ล่มบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถพิจารณาได้ครบทั้งสามวาระ
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในปี 2566 เมื่อรัฐบาลของ เศรษฐา ทวีสิน เข้ามามีบทบาทในการผลักดันกฎหมายนี้อย่างจริงจัง คำกล่าวของเขาในงานเสวนา “ในนามของความรัก” ได้กลายเป็นถ้อยแถลงที่สะท้อนทิศทางใหม่ของประเทศ การยืนยันว่า สิทธิเสรีภาพและความหลากหลายทางเพศไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือความจริงในทุกครอบครัว ทุกที่ทำงาน และทุกมิติของสังคม
จากมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 19 ธันวาคม 2566 สู่การรับหลักการของร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับในสภาผู้แทนราษฎร และการลงมติเห็นชอบอย่างท่วมท้น 400 เสียง ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ทุกขั้นตอนคือภาพของการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม วันที่ 18 มิถุนายน 2567 เมื่อวุฒิสภามีมติรับรองร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ประเทศไทยได้จารึกชื่อของตนเองไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กฎหมายครอบครัว และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 มกราคม 2568
การจดทะเบียนสมรสของคู่รักทุกเพศทั่วประเทศ ก็กลายเป็นภาพที่สะท้อนว่าความรักไม่ควรถูกจำกัดด้วยเพศสภาพอีกต่อไป ซึ่งการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 38 ของโลก ประเทศที่ 3 ของเอเชีย และประเทศแรกในอาเซียนที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม มิใช่เพียงความสำเร็จเชิงสถิติ หากคือสัญลักษณ์ของการเลือกยืนอยู่ฝั่งของความเสมอภาค
- เมนส์มาลาได้ : การยอมรับร่างกายของผู้หญิงในพื้นที่การทำงาน
หากสมรสเท่าเทียมคือการยอมรับความหลากหลายทางความรัก นโยบาย “เมนส์มาลาได้” คือการเริ่มต้นยอมรับความจริงของร่างกายผู้หญิง ความจริงที่เคยถูกทำให้เป็นเรื่องต้องปิดบังมาอย่างยาวนาน ในเดือนพฤษภาคม 2568 กระทรวงแรงงานได้ส่งหนังสือถึงจังหวัดทั่วประเทศ เชิญชวนนายจ้างกำหนดให้ลูกจ้างหญิงสามารถลาหยุดเมื่อมีประจำเดือนได้ และสนับสนุนให้มีผ้าอนามัยเข้าถึงได้ในสถานประกอบการ นโยบายนี้เกิดขึ้นจากข้อเสนอของเครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ที่สะท้อนปัญหาจริงของแรงงานหญิง โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ
ข้อเสนอให้มีวันลาประจำเดือนโดยได้รับค่าจ้าง และการจัดสวัสดิการผ้าอนามัยฟรี มิได้เป็นเพียงเรื่องของความสะดวกสบาย หากเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี สุขอนามัย และคุณภาพชีวิตของแรงงานหญิง แม้นโยบายนี้ยังเป็นเพียง “การเชิญชวน” และยังไม่ถูกบังคับใช้ในเชิงกฎหมาย แต่การที่รัฐเริ่มพูดถึงเรื่องประจำเดือนในพื้นที่สาธารณะ และในบริบทของแรงงาน ถือเป็นการทลายกำแพงทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
กระแสตอบรับที่เกิดขึ้น ทั้งเสียงชื่นชมและเสียงของความกังวล สะท้อนว่าสังคมไทยกำลังเรียนรู้ที่จะถกเถียงเรื่องสิทธิของผู้หญิงอย่างเปิดเผยมากขึ้น และนี่อาจเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่กฎหมายหรือสวัสดิการที่เป็นรูปธรรมในอนาคต
- กฎหมายลาคลอดฉบับใหม่ : ความเท่าเทียมเริ่มต้นจากครอบครัว
อีกหนึ่งกฎหมายสำคัญที่สะท้อนแนวคิดก้าวหน้าคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เพียงเพิ่มวันลา หากได้เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องบทบาทของพ่อ แม่ และครอบครัวในระบบแรงงานไทย การเพิ่มวันลาคลอดเป็น 120 วัน และการให้คู่สมรสสามารถลาช่วยภรรยาดูแลบุตร หลังคลอดบุตรได้ 15 วัน และการเพิ่มสิทธิลาดูแลเมื่อบุตรป่วย คือการยืนยันว่าการดูแลครอบครัวไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนั้น กฎหมายยังคุ้มครองลูกจ้างจ้างเหมาบริการในหน่วยงานรัฐ ให้ได้รับสิทธิเทียบเท่าลูกจ้างทั่วไป เป็นการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานอย่างเป็นระบบ
โดยรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลลิดา เพริศวิวัฒนา ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้สะท้อนนโยบายของรัฐบาลในการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตครอบครัว และเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน กฎหมายเหล่านี้อาจไม่สามารถเปลี่ยนสังคมได้ในชั่วข้ามคืน แต่ทุกกฎหมายที่ถูกประกาศใช้ คือการส่งสัญญาณว่า “ประเทศกำลังเลือกเดินไปในทิศทางใด”
สมรสเท่าเทียม เมนส์มาลาได้ และกฎหมายลาคลอดฉบับใหม่ คือหลักฐานว่าประเทศไทยกำลังขยับเข้าใกล้คำว่า “ความเสมอภาค” มากขึ้นทีละก้าว ซึ่งอาจเป็นก้าวที่เนิบช้าไปบ้าง แต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความหมาย เพราะในท้ายที่สุด ความเจริญของชาติไม่ได้วัดจากตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากวัดจากว่าประเทศนั้นเปิดพื้นที่ให้มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือ LGBTQIAN+ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีเพียงใด และวันนี้ ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นตอบคำถามนั้น ด้วยการเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและงดงาม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สมรสเท่าเทียม เมนส์มาลาได้ กฎหมายลาคลอด หมุดหมายแห่งความหวัง และก้าวใหม่ของไทย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th