โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ภูมิภาค

ถอดบทเรียน“น้ำท่วมเชียงราย 2567” รู้–รับ-ปรับ–ฟื้น จากภัยพิบัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

77kaoded

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • 77Kaoded

ถอดบทเรียน “น้ำท่วมใหญ่เชียงราย 2567” จากภัยพิบัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ภาวะโลกรวนทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน ทั้งจากภัยพิบัติที่มีแนวโน้มจะเกิดเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรือภัยน้ำท่วม และจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการเสื่อมสภาพของทรัพยากรทางทะเล อย่างเช่นแนวปะการังและชายหาด ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวในระดับประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การถอดบทเรียน “น้ำท่วมใหญ่เชียงราย 2567” การรู้–รับ-ปรับ–ฟื้นจากภัยพิบัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อาจเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

ภาพที่ 1 น้ำท่วมใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กำลังสร้างความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและบริการ โดยส่งผลกระทบหลากหลายทั้งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันและที่กำลังจะเกิดในอนาคต ความเสี่ยงและผลกระทบสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจ และการปรับตัวของภาคเอกชนเพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างยั่งยืน

จากสถานการณ์อุทกภัยในปี 2567 ได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ อย่างเช่นเส้นทางการคมนาคมเดินทางเข้าสู่พื้นที่ความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ สถานประกอบการและแหล่งธุรกิจการค้าสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมถึงบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย ปัจจุบันสถานการณ์ได้กลับสู่ภาวะปกติ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและนานาชาติให้กลับมาชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ศิลปะวัฒนธรรมที่งดงามและทรงคุณค่าของทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ

ภาพที่ 2 ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ ภาพที่ 3 น้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ปี 2567

ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) หรือ TDRI กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือเมื่อปี 2567 ว่าภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ โดยมีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวจะตัดสินใจหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่มีอากาศร้อน และเลือกเดินทางไปยังประเทศที่มีอากาศเย็นสบายมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจะหดตัวลง 3.22% ซึ่งหากคำนวณจากข้อมูลรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2019 ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาท/ปี

จากสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันหรือสภาวะโลกร้อน อุณหภูมิจึงสูงขึ้น เกิดการสะสมความร้อนในอากาศกลายเป็นไอน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำในอากาศมีจำนวนมากกว่าปกติจึงเกิดฝนตกหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือในประเทศไทยมีสภาพเป็นภูเขาสูงลาดชันและภูเขาหัวโล้นที่เกิดจากการทำลายป่าไม้ ซึ่งพื้นที่การเกษตรในภาคเหนือเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ไม่ปกคลุมดิน และจากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าทำให้พื้นที่ป่าไม้ลดลง ดังนั้น เมื่อเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีต้นไม้ที่คอยยึดหน้าดินไว้ ทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำและช่วยชะลอการไหลของน้ำได้ จึงทำให้เกิดการพังทลายของหน้าดินและเกิดดินโคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลากลงสู่ที่ราบอย่างรวดเร็วและรุนแรง

และได้ให้ข้อเสนอแนะด้านนโยบายไว้ว่า แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว แต่ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวก็ได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นที่ภาคการท่องเที่ยวจะต้องมีการปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ผ่านการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบใน 2 รูปแบบ แบบแรกคือการปรับเวลาท่องเที่ยว ขยายกิจกรรมสู่ช่วงเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อน ดังตัวอย่างของโคลอสเซียม ที่กรุงโรม ซึ่งเปิดให้บริการในช่วงเวลา 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืนในบางช่วง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลี่ยงอากาศร้อน การปรับเวลานี้ จะต้องควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวในช่วงกลางคืน เช่น ศูนย์บริการข้อมูล การรักษาความปลอดภัย และระบบขนส่งสาธารณะ

ภาพที่ 4 สถานประกอบการในอำเภอเมืองเชียงราย ภาพที่ 5 สภาพเส้นทางคมนาคมถูกน้ำพัดพา

การปรับตัวรูปแบบที่สอง คือการปรับกิจกรรมท่องเที่ยว หาจุดขายใหม่ผ่านการพัฒนาแหล่งหรือกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการใช้ศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของพื้นที่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหาร วัฒนธรรม สุขภาพ ฯลฯ การสร้างแหล่งท่องเที่ยวในร่มเพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อน และดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มธุรกิจ (MICE) เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ตลอดปี บทบาทของภาครัฐจำเป็นจะต้องสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวในการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมงบประมาณในการพัฒนากิจกรรม การสนับสนุนทุนวิจัยด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการพัฒนาและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ของประเทศไทย

ภาพที่ 6 และ 7 ธุรกิจท่องเที่ยวบนดอยสูง เผชิญปัญหาดินถล่มปิดเส้นทางจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

หากมองย้อนกลับไปทบทวนสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้น พบว่าจังหวัดเชียงรายสามารถเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2567 โดยเปิดเมืองต้อนรับด้วยกิจกรรมหลากหลาย ผสานกิจกรรมท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น อาทิ ประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail มหกรรมดอกไม้อาเซียน เชียงรายดอกไม้งาม เคาท์ดาวน์เชียงราย ฯลฯ ช่วยสร้างสีสันรับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือ การกระจายรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในจังหวัดได้เป็นอย่างดี

อย่างเช่น โครงการเหนือพร้อมเที่ยว กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2567 ฟื้นฟูการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์อุทกภัย สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงฤดูท่องเที่ยวโค้งสุดท้าย ปี 2567 สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท และได้นำผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คนเดินทางเข้ามามาช่วยประชาสัมพันธ์ สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว เจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือ ร่วมพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ภูมิภาคภาคเหนือกว่า 22.13 ล้านคนครั้ง และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 164,106 ล้านบาท

ภาพที่ 8 และ 9 ผู้ประกอบการธุรกิจท้องถิ่น นำอาหารว่างและเครื่องดื่มร่วมงาน

ทางด้านผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นในเชียงราย นางสาวปราณิสา แซ่หลอ หรือ “ชิงชิง อายุ 32 ปี เป็นครอบครัวใหญ่อยู่กันหลายคนบนดอยแม่สลอง ตนกับพี่น้อง 3 คน ลงมาเปิดร้านใหม่ทำธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มสมัยตามความคิดความฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สนใจและอยากทำให้แตกต่างไปจากธุรกิจของครอบครัว โดยนำเรื่องราวของ ชา-กาแฟ และวิถีวัฒนธรรมบนดอยมาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ 5 ปีแล้ว

“ครอบครัวผลิตและค้าขายใบชา มีร้านอยู่บนดอย ไร่ชา101 ชิงชิงชอบการค้าขายและอยากทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบบคนรุ่นใหม่ ที่มีอาหารและเครื่องดื่มร่วมสมัย เปิดร้านมา 5 ปีแล้ว มีลูกค้าแวะเวียนมาอยากต่อเนื่อง นอกจากการให้บริการอาหาร เครื่องดื่มแล้ว ที่ร้านยังจัด workshop การชงชาหลากหลายให้ทั้งความรู้และความสุขกับลูกค้าที่มาอุดหนุน และรับงานไปออกร้านตามงานต่าง ๆ อย่างการไปร่วมกิจกรรมให้บริการชุดอาหารว่าง (ผลไม้และขนม) ชุดเครื่องดื่ม ชา กาแฟ และน้ำผลไม้) การไปออกบูธทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการร่วมประกวดคิดค้นสูตรใหม่ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับร้านเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น”

ภาพที่ 10 และ 11 ภาคการท่องเที่ยวร่วมพันธมิตรหลากหลาย ร่วมฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวเชียงรายอย่างเต็มกำลัง

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เชียงราย ทางร้านเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายหนักมากเพราะทำเลยที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณใกล้อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมมวลน้ำท่วมนี้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Impact of Floods & Climate Change) ปัจจุบันมีลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว กลุ่มคนที่เห็นในสื่อสังคมออนไลน์ และการบอกต่อๆ กันมา ทางร้านพยายามคิดเมอาหารและเครื่องดื่มใหม่ ๆ ที่หลากหลาย มี Story และเพิ่มเติมความคิดสร้างสรรค์ใส่ลงไปด้วย โดยนำอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายมาออกแบบให้เป็นเมนูใหม่ๆ ทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่จะคิดเมนุใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง กรณีน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 โดยส่วนตัวมีความเชื่อว่ามีสาเหตมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change)

“ผลกระทบที่ได้รับจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนกันยายน 2567 นั้น บอกได้เลยว่าแทบหมดกำลังใจ เพราะน้ำท่วมใหญ่เข้าในร้านเกิอบทั้งหมด เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ สินค้าต่างๆ ได้รับความเสียหายมากมาย ส่วนบริเวณภายนอกร้านก็โดนไปทั่ว พี่น้องถอดใจไม่อยากทำร้านอีกต่อไป เพราะเกิดความเสียหายหนักมาก แต่ด้วยตัวชิงชิงรักร้านนี้ และยังเชื่อว่าเราต้องอยู่ได้และไปต่อ โอกาสดีๆ ยังมีอีก ขอเพียงให้เราเข้มแข็งมีกำลังใจ พ่อแม่พี่น้องก็ให้กำลังใจ เรามีแรงฮึดสู้เริ่มต้นใหม่ ส่วนการฟื้นฟูและเยียวยาก็ได้รับจากหน่วยงานรัฐตามาตรฐานในระดับหนึ่ง แต่เราพึ่งพาตนเองมกกว่า ที่ผ่านมาเคยเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมมาบ้าง แต่ไม่สาหัสหนักหนาอย่างปี 2567”

ความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่นเล็กๆ ในครั้งนี้ นับเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทรัพย์สินและจิตใจ และทั้งภายในและภายนอกอาคาร เพราะได้รับผลกระทบเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลานสนามหญ้าสวนหน้าร้าน ลานจอดรถ ภายในร้านมีทั้งน้ำท่วมและโคลนเข้ามาถึงชั้นในห้องประชุมและห้องทำงาน โต๊ะเก้าอี้ ห้องครัว รวมถึงสินค้าประเภทใบชาหลากหลายที่เตรียมไว้ขาย บางส่วนเก็บขี้นไปไว้ชั้นบนได้จำนวนหนึ่ง

“แม้จะมีประกันความเสี่ยงภัยไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ในส่วนของการสูญเสียรายได้ นี่ก็ทำให้เกือบถอดใจ แต่พอมาคิดว่าหากเราในฐานะเจ้าของเป็นผู้นำเราท้อใจอ่อนแอไม่ได้ ต้องหาทางแก้ไขและวางแผนป้องกันเตรียมไว้ให้มากขึ้น หวังว่าอย่าเกิดน้ำท่วมใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีกเลย” ปราณิสา แซ่หลอ กล่าวทิ้งท้ายไว้

ภาพที่ 10 นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและมอบเงินเยียวยาประชาชน

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการจัดการปัญหา เช่น การสร้างและใช้ฐานข้อมูล (database) เพื่อวิเคราะห์ปริมาณน้ำฝน วิเคราะห์การอุ้มน้ำของดินอย่างแม่นยำ เพื่อประเมินและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำฝน น้ำท่วมและดินโคลนถล่ม รวมทั้งบริหารจัดการแหล่งกักเก็บน้ำ การระบายน้ำ พร้อมส่งสัญญาณให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูระบบแม่น้ำลำคลองว่ามีความพร้อมในการรองรับปริมาณน้ำมากน้อยเพียงใด และแจ้งเตือนให้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม เพื่อลดปัญหาผลกระทบและความเสียหาย

บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2567 นับเป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี ได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างหนักทั้งภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ภาคการเกษตรทำให้พื้นที่มีความเสื่อมโทรม เศรษฐกิจซบเซากลายเป็น“เมืองที่ไม่น่าอยู่” รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลในการเยียวยาความเสียหายและการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ บางพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือแม้เป็นพื้นที่สูงแต่กลับเกิดภาวะน้ำท่วมซ้ำซากเป็นประจำทุกปี ล้วนเป็นภาพที่คุ้นตาในช่วงฤดูฝน คำถามคือจะมีแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้หรือไม่ และจะมีนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือให้เป็น “เมืองน่าอยู่…อย่างยั่งยืน” ได้หรือไม่

#ถอดบทเรียนจากน้ำท่วมเชียงราย #น้ำท่วมเชียงราย2567 #CLIMATECHANGE #ภาวะโลกร้อน #การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ #เชียงราย2567

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...