โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ท่องเที่ยว

ย้อนรำลึกวันวาน “ปูซาน” จากผู้ลี้ภัย “สงครามเกาหลี”

เดลินิวส์

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • เดลินิวส์
บ้านเรือนส […]

บ้านเรือนสีพาสเทลที่ไล่เรียงไปตามเนินเขาของ “หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน” แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของปูซาน คือส่วนหนึ่งของร่องรอยอดีตที่ยังคงมีชีวิต ตรอกเล็ก ๆ ที่เป็นทางเดินกระจายอยู่ทั่วชุมชนเป็นทางสัญจรที่เคยทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนเหล่านั้นไว้ด้วยกัน แต่วันนี้คือทางเดินที่พาผู้มาเยือนออกสำรวจหมู่บ้านที่ได้รับสมญานามว่า “มาชูปิกชูแห่งเกาหลี” หลังโครงการฟื้นฟูเมืองโดยผสมผสานศิลปะและวัฒนธธรรมเพื่อคืนชีวิตให้กับชุมชนยากจนแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2009

สีสันที่แต่งแต้มขึ้นใหม่บวกกับงานศิลปะทั้งแบบสตรีทอาร์ท และเรื่องราวของเจ้าชายน้อยที่ถูกนำมาผูกโยงกับชุมชนอย่างลงตัว ทำให้หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอนได้รับรางวัลวัฒนธรรมและพื้นที่เชิงสถาปัตยกรรมของเกาหลีในปี ค.ศ.2016 โดยได้รับความนิยมจากผู้มาเยือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางของถนนสายหลักที่เป็นทางสัญจรรถราเต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึก ยังไม่นับรวมที่พักแบบโฮมสเตย์ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีแบบกัมชอนอย่างลึกซึ้ง ที่มาพร้อมเส้นทางเดินชมหมู่บ้านแบบเจาะลึก

หากมาเยือนหมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอนนอกจากจะไปเช็คอินกับเจ้าชายน้อยแล้ว ยังมีชาว BTS ที่มีทั้งของเดิมและเพิ่มเติมมาใหม่ให้เหล่าอาร์มี่ได้มาเช็คอินเพิ่ม และหากอยากมีส่วนในการสนับสนุนชุมชน เดินแวะไปที่กัมชอนเบเกอรี่อุดหนุนขนมปังเกลือสูตรชุมชนสักชิ้น เพื่อให้ชุมชนมีรายได้ไว้ปรับปรุงดูแลพื้นที่ หาไม่ยากแค่มองหากำแพงบ้านที่มีฝูงแมวเหมียวอยู่

ไม่ไกลจากหมู่บ้านกัมชอนมีอีกชุมชนข้างเคียงที่ก่อตั้งขึ้นในยุคสงครามเกาหลีเช่นกัน “หมู่บ้านวัฒนธรรมหลุมฝังศพอามีดง” แม้จะเป็นหมู่บ้านของผู้อพยพไม่ต่างกันแต่ร่องรอยความเจ็บปวดจากสงครามครั้งนั้นกลับเด่นชัดมากกว่า เพราะเอกลักษณ์ของวัสดุก่อสร้างบ้านอย่างป้ายหลุมศพ

พื้นที่อามีดงเป็นเนินเขาที่อยู่ถัดเข้ามาในแผ่นดินไกลกว่าหมู่บ้านกัมชอน ช่วงปลายมัยราชวงศ์โชซอนในยุคที่ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกราก ได้ใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นสุสานสาธารณะ จนมาถึงช่วงสงครามเกาหลี 6.25 ที่มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากอพยพเข้ามา ตอนที่มารวมตัวกันที่สถานีปูซานข้อความสั้น ๆ ที่ได้จากเจ้าหน้าที่ที่ว่า “ซาน 19-บอนจี อามีดง” สุสานคนญี่ปุ่นเก่าจึงกลายมาเป็นบ้านหลังใหม่ของเขาเหล่านั้น

เพราะผู้ลี้ภัยเหล่านั้นออกเดินทางโดยมีเพียงข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเท่าที่หยิบฉวยติดตัวมาได้ ทั้งยังอยู่ในห้วงเวลาที่วัสดุก่อสร้างบ้านหายากยิ่ง แผ่นหินหนาหนักที่มีตราประจำตระกูล หรือชื่อ วันเกิด และวันเสียชีวิตของผู้เสียชีวิต สลักด้วยอักษรคันจิ ฮิรางานะ คาตากานะ แผ่นไม้ และเครื่องประดับหินประดับบนหลุมศพ จึงถูกนำมาใช้เป็นฐานรากของบ้าน ขั้นบันได ไปจนถึงกำแพง โดยมีการประกอบพิธีกรรมและนำกระดูกที่เก็บกู้มาได้ไปเก็บไว้ที่วัดใกล้เคียงเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ตาย

แม้วันนี้บ้านเรือนหลายหลังจากถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ป้ายหลุมศพเหล่านั้นยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น ยามที่เดินลัดเลาะไปตามตรอกเล็ก ๆ ที่บางช่วงเป็นอุปสรรคสำหรับผู้มาเยือนที่มีรูปร่างใหญ่หรืออ้วน บ้านบางหลังมีขนาดย่อมจนแทบนึกภาพไม่ออกว่าทั้งครอบครัวอยู่รวมกันได้อย่างไร

หลังโครงการฟื้นฟูถนนซานบกและโครงการสร้างหมู่บ้านแห่งความสุข อามีดงจึงได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมที่ดำเนินงานโดยชุมชน มีบ้านไม้ที่สร้างอยู่บนหินสุสานดั้งเดิมได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ผู้มาเยือนจินตนาการถึงความหลังอันปวดร้าวได้ชัดเจนมากขึ้น ใกล้กันคือบ้านเก่า 3-4 หลังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เช่นกัน โดผยบูรณะพื้นที่ด้านในและเปิดให้เข้าเยี่ยมชม หากไปในช่วงบ่าย ๆ อาจได้เจอกลุ่มป้า ๆ ที่ออกมานั่งรับแดดอุ่นทักทายอยู่ที่แคร่กลางหมู่บ้านด้วย

ไม่ใช่เพียงแค่หมู่บ้านทั้งสองแห่งที่เกี่ยวโยงกับสงครามเกาหลีในครั้งนั้น ตลาดปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดของปูซานอย่าง “จากัลชี” ไม่ไกลจากท่าเทียบเรือประมงของจากัลชี มี “สะพานยองโด” ตั้งอยู่ ปัจจบันมักมีผู้มาเยือนมารอดูการยกสะพานขึ้นแบบดั้งเดิมในช่วงบ่ายวันเสาร์ แต่ในห้วงเวลาแห่งสงครามนั้น สะพานแห่งนี้คือสถานที่นัดพบ เป็นสถานที่ที่ผู้คนใช้เป็นจุดตามหาญาติที่พลัดพรากกันระหว่างการลี้ภัยสงคราม สะพานยองโดถูกใช้งานอย่างหนักจนชำรุด ประกอบกับมีการสร้างสะพานแห่งใหม่ข้าง ๆ กัน สะพานจึงหยุดใช้งานในปี ค.ศ. 1966 ก่อนจะมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 2013 และเปิดใช้งานอีกครั้งในฐานะแหล่งท่องเที่ยว

หากมาถึงย่านตลาดปลาจากัลชีแล้วออกมาด้านนอกบริเวณใกล้กับท่าเทียบเรือประมง จะสามารถมองเห็นสะพานยองโดอยู่ไกล ๆ ตลาดจากัลชีเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1899 โดยชาวญี่ปุ่นที่ก่อตั้งบริษัทปูซานฟิชชิ่ง จากตลาดค้าปลาสดในยุคแรกค่อย ๆ ขยายพื้นที่และเติบโดตขึ้นจนกลายเป็นตลาดสมัยใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีทั้งโซนขายส่ง ขายปลีก และโซนร้านอาหารที่พร้อมจะจับหอย ปู ปลาในตู้มาปรุงเสริฟ ว่ากันว่าชื่อของที่นี่อาจมาจากก้อนกรวดบริเวณชายฝั่ง หรืออาจจะมาจากชื่อปลาจากัลชี ที่ใช้ในการค้าส่งปลาเมื่อครั้งอดีต

ร่องรอยของวันวานที่ยังคงอยู่จนทุกวันนี้อีกอย่างก็คือ “มิลมยอน” หมี่เย็นในแบบปูซาน ที่ ยูซังโม เจ้าของร้านรุ่นที่ 3 ของ “แนโฮ แนงมยอน” ยังคงสืบทอดสูตรหมี่เย็นของบรรพบุรุษไว้ ชื่อร้าน “แนโฮ” นั้นมาจากชื่อบ้านเกิดที่อยู่ในเกาหลีเหนือ ในช่วงสงครามเกาหลีก่อนที่ประเทศจะแบ่งเป็นเหนือและใต้ ครอบครัวของยูซังโมก็ตัดสินใจขึ้นเรือลำสุดท้ายจากฮึงนัมในปี ค.ศ.1950 โดยมีเพียงชีวิตของทุกคนและของใช้ส่วนตัวเล็กน้อยติดตัวมาเท่านั้น

หากนับตามจริงตั้งแต่ยังไม่อพยพมายังปูซาน ร้านแนโฮ แนงมยอน เดิมชื่อ “ทงชุน แนงมยอน” เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1919 จนอพยพมาอยู่ที่ปูซานครอบครัวอาศัยอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย ในระยะแรกบริเวณที่อาศัอยู่นี้เคยเป็นคอกวัวมาก่อน มีตรอกเล็ก ๆ ไว้สัญจรมีบ้านแบบพอหลบฝนหลบหนาวได้อยู่รวมกันอย่างแออัด จนกระทั่งปี ค.ศ.1953 ร้านแนโฮ แนงมยอนก็ถือกำเนิดขึ้น

“ตลอด 75 ปี เราขายแต่หมี่เย็นเพียงอย่างเดียวครับ เราไม่ขายอย่างอื่นเลย ประเพณีของร้านเรา เจ้าของร้านจะเป็นคนทำเท่านั้น จะไม่จ้างคนนอกมาทำเด็ดขาดเพราะรสชาติจะเปลี่ยนไป ผมเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ตอนนี้รุ่นที่ 4 ก็เริ่มมาช่วยดูแลกิจการ ร้านเราไม่ใช่แค่ไม่มีสาขา แต่จะยังคงตั้งอยู่ที่นี่ ที่เดิมที่บรรพบุรุษอพยพมาตั้งรกราก พ่อแม่สั่งไว้ว่าห้ามไปไหนครอบครัวเราต้องอยู่ตรงนี้เท่านั้น”

แนงมยอนคือหมี่เย็นของเกาหลี แต่สำหรับมิลมยอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงสงครามเกาหลี คำว่า “มิล” หมายถึง ข้าวสาลี ในช่วงข้าวยากมหากแพงนั้น วัตถุดิบที่ใช้ทำเส้นแนงมยอนแบบดั้งเดิมหายาก ขณะที่แป้งสาลีคือสิ่งที่หาง่ายกว่า เพราะเป็นเสบียงสงครามที่กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งประจำการอยู่ในปูซานจัดหาให้ เส้นบะหมี่จากแป้งสาลีที่ฝรั่งใช้ทำขนมปังจึงถือกำเนิดขึ้น โดยวันนี้มีทั้งไข่ เนื้อ หมู แตงกวา โรยหน้า และที่ขาดไม่ได้คือซอสแดงโคชูจังที่ช่วยเพิ่มรสชาติ

ปาร์ค ซอนมี องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสันทิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตปลอดทหารหรือว่า DMC และพยายามขยายแนวคิดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และปูซานก็คือสถานที่ที่ได้รับการประเมินว่ามีคุณค่าด้านสันติภาพสูงที่สุด

“สงครามเกาหลีเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950 ที่มีทั้งทหารและพลเรือนจำนวนมากที่ต้องเสียสละ แม้จะมีสถานที่รำลึกอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ แต่ว่าส่วนอนุสรณ์สหประชาชาติแห่งนี้ ถือว่าเป็นที่แห่งเดียวในโลกที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงสันติภาพของสหประชาชาติ ไม่เพียงเท่านั้นปูซายังเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คนในยุคสงคราม”

กองบัญชาการกองกำลังสหประชาชาติได้จัดตั้ง “สวนสันติภาพอนุสรณ์แห่งสหประชาชาติ” ขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.1951 เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนแห่งสุดท้ายของทหารกล้าผู้เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ จ่าสิบเอก รอด อาสนพรรณ ทหารผ่านศึกสงครามเกาหลีชาวไทย หนึ่งในตัวแทนของ “พยัคฆ์น้อย” ที่ได้รับเกียรติให้นำอัฐิไปฝังไว้ ณ สวนสันติภาพอนุสรณ์แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งตรงกับวันรำลึกผู้เสียสละสงคราม

แม้สงครามเกาหลีจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่วันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี งานรำลึก “Turn Towards Busan” จะยังคงจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงความสูญเสียในครั้งนั้น และเมื่อเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นในเวลา 11.00 น. คนปูซานจึงยังคงระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านพ้นจนมาเป็นปูซานอย่างวันนี้อีกครั้ง

อธิชา ชื่นใจ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...