โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“สวยซ่อนเสี่ยง” เมื่อความงามที่เร่งด่วน กำลังก่อปัญหาสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

Manager Online

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

ในยุคที่ความงามได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนไทย และ “ความสวยรอไม่ได้” ทุกอย่างจึงต้องเร็ว สิวยุบไว ผิวใสทันใจ แผลต้องหายก่อนถึงวันสำคัญ คำว่า “รอได้” ดูเหมือนจะไม่เข้ากับวิถีชีวิตของเราอีกต่อไป หลายคนจึงคุ้นเคยกับทางลัดด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะ เพราะเคยได้ยินกันมาว่า “กินแล้วดี” “ทาแล้วหายเร็ว” จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความงามไปโดยไม่รู้ตัว

แต่รู้หรือไม่? เรากำลังทำให้โรคผิวหนังที่ควรรักษาง่าย กลายเป็นเรื่องยาก แพง และต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น สิวที่เคยรักษาง่าย กลับต้องใช้เวลานานขึ้น แผลติดเชื้อเล็ก ๆ หลังทำหัตถการกลายเป็นแผลที่ดื้อการรักษาไม่ใช่เพราะโรครุนแรงขึ้น แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้จากการใช้ยาที่มากเกินความจำเป็น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR) ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียเปลี่ยนแปลงตัวเองจนไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ ที่เคยใช้ได้ผล ทำให้การติดเชื้อรักษายากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนก็สูงขึ้นตามมา แต่ AMR ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต หากเกิดจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง

การสื่อสารจึงเปรียบเสมือน “วัคซีนทางสังคม” ที่จำเป็นที่สุดในการหยุดยั้งปัญหานี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) จึงได้ผลักดันโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เพื่อยกระดับ Health Literacy ให้ประชาชนเข้าใจการใช้ยาอย่างถูกต้อง รู้เท่าทันอาการที่ควรหรือไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ และสามารถตั้งคำถามกับกระบวนการรักษาได้อย่างมีเหตุผล ภายใต้เป้าหมายเดียวกันในการเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม ๆ ไปสู่พฤติกรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น

ทั้งนี้ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการหัวข้อ “หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ ร่วมกันสร้างมุมมองใหม่ด้านการใช้ยาในสังคมไทย” ที่ถูกนำเสนอผ่านการหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาถ่ายทอดเพื่อเปิดพื้นที่ให้สังคมได้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าปัญหาเชื้อดื้อยาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากน้อยแค่ไหน และทำไมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้

กับดักเล็ก ๆ ที่เราคุ้นชิน

วงการความงามกำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงใหม่ของปัญหาเชื้อดื้อยาในสังคมไทย จาก 2 ปัจจัยหลักร่วมกัน ได้แก่ ความไม่รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของประชาชน และค่านิยมความงามที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว โดย นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหานี้ว่า “ปัญหาเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง”

กลไกสำคัญหนึ่งก็คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้บริโภคที่มองว่ายาปฏิชีวนะเป็น “ทางลัด” สิวอักเสบขึ้นเมื่อไรก็กินยาตัวเดิมทุกครั้ง ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกิน ทา หรือฉีด แม้ไม่จำเป็นบางครั้งใช้ยาในขนาดต่ำ ใช้ไม่ครบระยะหรือใช้ซ้ำ ๆ เลือกสกินแคร์ที่ผสมสารฆ่าเชื้อเพราะรู้สึกว่า “น่าจะปลอดภัยกว่า” หรือ การใช้ยาฆ่าเชื้อหลังทำหัตถการเผื่อไว้กันติดเชื้อ ทั้งที่แผลส่วนใหญ่เป็นแผลสะอาด

พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากความหวังดีต่อตัวเอง/ผู้รับบริการ แต่ในภาพรวมของสังคม มันกำลังเร่งให้เชื้อแบคทีเรีย ถูกคัดเลือกให้แข็งแรงขึ้นจนไม่ตอบสนองต่อยาที่เราเคยพึ่งพา องค์การอนามัยโลกเตือนว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหรือความงาม กำลังผลักดันให้โลก เข้าใกล้ยุคที่ “การติดเชื้อธรรมดา” อาจกลับมารักษายากอีกครั้ง

ผลกระทบที่เริ่มเห็นชัดบนผิวหนัง

ในทางผิวหนังและความงาม ผลของเชื้อดื้อยาไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาที่ช้าลง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ด้านความสวยงามโดยตรง การติดเชื้อหลังหัตถการ เช่น ฝีหรือการติดเชื้อตามแนวแผลอาจไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปโดยเฉพาะเมื่อพบเชื้อดื้อยาสำคัญ ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็น หรือทิ้งรอยถาวรไว้บนผิว ในหัตถการที่ทำลึกหรือมีวัสดุแทรก เช่น ฟิลเลอร์หรือ biostimulator หากมีเชื้อดื้อยาแฝงอยู่ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มขึ้นบางรายจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงและราคาแพงขึ้นหรือแม้กระทั่งต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับการรักษาสิวเองก็เช่นกัน

เชื้อ Cutibacterium acnes ในหลายพื้นที่เริ่มแสดงการดื้อยาทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ ไม่เพียงไม่คุ้มค่าแต่ยังอาจเร่งการดื้อยา เมื่อการใช้ยาปฏิชีวนะในคลินิกเสริมความงามแพร่หลายเกินไป ผลกระทบก็ไม่ได้หยุดแค่คนไข้รายนั้น แต่เชื้อดื้อยาสามารถแพร่กระจายสู่ชุมชน และย้อนกลับมา สร้างภาระให้โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขโดยรวม

ความงามที่ดี…ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยยา

ในทางการแพทย์ผิวหนังอาการจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ สิวทั่วไป ผิวระคายเคืองหลังหัตถการ หรือผื่นแพ้สามารถดูแลได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยกว่าและยั่งยืนกว่า การรักษาที่ดีจึงไม่ใช่การเร่งผลลัพธ์ ให้เร็วที่สุดแต่คือการดูแลผิวให้กลับสู่สมดุล เคารพระบบจุลินทรีย์ดีบนผิว (Skin Microbiome) และให้เวลาร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม ความรู้ตรงนี้เองคือ “เมกอัพชิ้นสำคัญ” ที่เรียกว่า Health Literacy

สวยอย่างรู้เท่าทัน คือความงามที่ยืนยาว

เมื่อเรารู้จักยามากขึ้นเราจะกล้าถามแพทย์ กล้าคุยกับเภสัชกร กล้าตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองจริง ๆ ความงามจึงไม่ใช่เรื่องของการตามกระแสแต่เป็นการเลือกด้วยเหตุผลเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเราและไม่ทิ้งภาระไว้ให้สังคม เพราะการสื่อสารที่ดีเปรียบเสมือนวัคซีนของสังคม โครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆ ให้กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่ใช่เพื่อห้ามใช้ยาแต่เพื่อใช้ยา “เท่าที่จำเป็น และถูกจังหวะ” เพราะเมื่อเราทุกคนรู้เท่าทัน เชื้อดื้อยาก็ไม่มีพื้นที่เติบโต และความงาม…ก็จะไม่เป็นเพียงความสวยชั่วคราวแต่เป็นความงามที่ดูแลทั้งตัวเองและสังคมไปพร้อมกัน

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...