บันทึกหน้า 4
ดูเหมือนศึกชายแดนไทย-กัมพูชารอบนี้ ที่ เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา จะไม่มีทางจบลงง่ายๆ แน่ เพราะทั้ง “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ที่เป็นเจ้าของประเทศมุ่งมั่นอย่างมาก สังเกตได้จากการขายพื้นที่การรบที่มากขึ้นเป็นพิเศษ หรือจะเรียกว่าตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาก็ว่าได้ โดยเฉพาะการระดมยิงปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ลึกเข้ามาในพื้นที่พลเรือนในประเทศไทยเป็นว่าเล่น เหมือนเป็นการยั่วยุให้ไทยส่งทัพฟ้า ทั้ง F-16 และกริพเพน เข้าถล่มพื้นที่ภายในประเทศกัมพูชามากกว่าพื้นที่ชายแดน …๐
โดยพื้นที่กระสุนตกของปืนใหญ่และ BM-21 ณ เวลานี้ก็มีทั้งพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์, อุบลราชธานี และสุรินทร์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรัก ก็มีจรวด BM-21 มาตกใกล้ๆ โดยห่างไปเพียงกว่า 1 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งที่ รพ.พนมดงรักนั้นห่างจากชายแดนกัมพูชาถึง 14 กิโลเมตร เห็นได้ชัดว่า “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” และกองทัพกัมพูชานั้น นอกจากเบิกกระสุนนัดแรกก่อนแล้ว ยังจ้องขยายสถานการณ์การรบไม่ใช่แค่ชายแดน แต่ต้องการปูทางไปสู่การรบพุ่งเต็มรูปแบบ เพราะโจมตีทั้งพื้นที่พลเรือนและใกล้เคียงโรงพยาบาล …๐
นี่ยังไม่นับรวมกรณียิงถล่มโบราณสถานต่างๆ และยังใช้พื้นที่ “ปราสาทตาควาย” นำไปใช้เป็นทางปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงการนำบุคคลในครอบครัวเข้ามาในปราสาท ซึ่งมองเป็นอื่นไปไม่ได้ว่าต้องการสร้างภาพความสูญเสีย หาก กองทัพไทยหลงเล่ห์เขมรโจมตีกลับ ก็จะกล่าวหาว่าไทยโจมตีโบราณสถานและเข่นฆ่าชาวบ้านเขมร ทั้งที่เขมรเองนั่นแหละขุดบ่อล่อปลาเอาไว้ ที่สำคัญ “กัมพูชา” โดยเฉพาะสื่อทั้งหลายก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” ชี้นำและสั่งการ เมื่อสร้างเฟกนิวส์ว่าไทยส่งเอฟ-16 บินลึกเข้าไปในพื้นที่พลเรือนกัมพูชา และทิ้งไข่ 2 ลูกใน “บันเตียเมียนเจย” เรียกว่า “ตอแหล” ไล่มาตั้งแต่ระดับฮุน เซน ถึงโฆษกกลาโหมอย่าง “มาลี โสเจียตา” รวมถึงสื่อทั้งหลายแหล่ในเขมรกันเลยทีเดียว …๐
โดยสถานการณ์ล่าสุดกองกำลังบูรพา ได้ประกาศเคอร์ฟิว ขอความร่วมมือประชาชนห้ามออกนอกเคหสถานในพื้นที่ชายแดน 4 อำเภอจังหวัดสระแก้ว ประกอบด้วย อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ อ.คลองหาด ตั้งแต่ห้วงเวลา 19.00-05.00 น. เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค.2568 …๐
ซึ่งชายแดนที่ดุเดือดในขณะนี้ แต่นักการเมืองไทย โดยเฉพาะ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชนและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคส้มในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลับมาตั้งข้อสังเกตและติดใจที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปให้อำนาจกองทัพในการจัดการเต็มที่ พิโธ่! อยากเอาคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่ในเรือนจำมาสอนสั่งจริงว่า ไอ้หนุ่มซินตึ้งเอ๋ย ถ้าไม่ให้อำนาจกองทัพแล้วจะให้อำนาจหมาที่ไหนไปสู้รบ หรือปล่อยให้อริราชศัตรูรุกรานเข้ามาประเทศหรืออย่างไร พูดออกมาได้ว่ารัฐบาลตีเช็คเปล่าให้ฝ่ายมั่นคง มอง “ทหาร” และฝ่ายความมั่นคงเหมือนเป็นพวกกระหายสงครามไปได้ สงสัยลืม ตักน้ำใส่กะโหลกมองตัวเองว่า “ทหารอาชีพ” กับ “นักการเมือง” นั้น สันดานมันต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะทหารนั้นมีกฎมีระเบียบให้ยึดมั่น ที่สำคัญยังจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ส่วน “นักการเมือง” โดยเฉพาะค่ายส้มนั้น สังคมก็รู้ๆ กันอยู่ ว่ามองตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีอยู่ถ่ายเดียว แล้วคิดว่า “ส้ม” คือความถูกต้อง เอาแค่เรื่องตัดสิทธิทางการเมืองดู ทุกวันนี้ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หรือ “พรรณิการ์ วานิช” นั้น เหมือนคนถูกตัดสิทธิ์ลงโทษหรืออย่างไร เพราะเดินสายการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ ขาดแค่ลงสมัครและไปใช้สิทธิหย่อนบัตรเท่านั้นเอง …๐
พูดถึงเรื่องการหย่อนบัตรไม่พูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะมีการประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2568 เป็น วันแรกในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช… วาระที่สอง โดยพิจารณาเรียงลำดับมาตราไปจนจบร่าง ซึ่งก็ต้องบอกว่าแปลกพิกลอย่างยิ่ง เพราะบรรดากรรมาธิการสงวนความเห็น โดยเฉพาะ ทั้งซีกพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเหมือนนัดหมายกันมาที่จะเรียกร้องในสิ่งที่ตนเองสงวนความเห็นไว้ ทั้งที่สวนกับมติของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ด้วย โดยเฉพาะเรื่องสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งสุดท้ายที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก ให้มี 2 องคาพยพในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ เรียกว่าขำไม่ออก เพราะใน กมธ.เองทั้ง 2 พรรคก็มีจำนวนมากที่สุด นี่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าใครกันแน่ที่ไม่ยอมรับกฎ ไม่ยอมรับกติกา และไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่กันแน่ …๐
ท.ศักดิ์