ขอบปริ ขอบปลิ้น เอกลักษณ์สำคัญพระสมเด็จฯ
ในการศึกษาพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น ผู้ศึกษาจะสังเกตเห็นร่องรอยสำคัญสองประการที่ผิวพระ คือ รอยขอบปริ และ รอยขอบปลิ้น โดยรอยขอบปรินั้น มักพบบริเวณขอบด้านหลังองค์พระสมเด็จวัดระฆังฯ มักไม่พบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ในขณะที่รอยขอบปลิ้น หรือการปลิ้นขึ้นของเนื้อพระนั้น มักพบบริเวณขอบด้านหน้าองค์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม โดยไม่พบเจอในพระสมเด็จวัดระฆังฯ
อาจพูดได้ว่าทั้งขอบปริ และขอบปลิ้นนี้ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณฯ ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่ปรากฏขอบปริ หรือขอบปลิ้น ดังกล่าวแล้วนั้น จะเป็นพระไม่แท้ พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมจำนวนไม่น้อยนั้น ไม่ปรากฏขอบปลิ้น ในขณะที่พระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น มีจำนวนมากที่ไม่ปรากฏขอบปริเช่นกัน
น่าสนใจว่าเพราะเหตุใด จึงมีการพบขอบปริ และขอบปลิ้น ในบริเวณดังกล่าวของพระสมเด็จฯ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้นั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตอธิบายถึงขั้นตอนสำคัญในการสร้างพระสมเด็จฯ ดังนี้
ในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น หลังจากที่มีการกดขึ้นรูปเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว (มีบางท่านบอกว่าในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น เป็นการเอาแม่พิมพ์กดลงบนเนื้อพระ แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นอย่างประณีตจากการแกะหินสบู่แล้ว ประกอบกับการพบแม่พิมพ์โบราณในงานศิลปกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แม่พิมพ์พระน่าจะมีขนาดใหญ่ โดยน่าจะแกะพิมพ์พระมากกว่าหนึ่งองค์ในหินสบู่แผ่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงอนุมานว่าควรจะต้องเป็นการเอาเนื้อพระกดลงบนแม่พิมพ์) จากนั้นจึงมีการตัดขอบพระโดยวัสดุมีคม เช่น ตอกตัด (อ้างอิงจากตำราตรียัมปวาย) หรือมีด อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ อาวุโส บอกว่าในการตัดขอบนั้น มีทั้งแบบตัดจากด้านหน้าองค์พระไปด้านหลัง และจากด้านหลังไปด้านหน้า ในการตัดจากด้านหลังองค์พระไปด้านหน้านั้น น่าจะเป็นการตัดขณะที่องค์พระยังไม่ถูกถอดออกจากแม่พิมพ์ (แม่พิมพ์อาจจะมีการบากเส้นบอกตำแหน่งลงมีด) โดยถ้าตอกตัดหรือมีดไม่คม และเนื้อพระเริ่มหมาด บริเวณขอบด้านหลังจะเป็นรอยขอบปริขนานเป็นแนวไปตามขอบองค์พระ (หรืออาจจะมีลักษณะเป็นริ้วปริออกมาจากขอบก็ได้) หรือที่เรียกว่ารอยปูไต่ (ตำราบางเล่มบอกว่า รอยปูไต่นั้น หมายรวมถึงร่องรอยที่เกิดบนเนื้อพระบริเวณอื่นได้ด้วย) โดยอาจมีปรากฏเป็นบางด้านหรือมีครบทั้งสี่ด้านก็ได้ อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกว่าร่องรอยชนิดนี้นั้นเซียนรุ่นเก่าถือกันว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญของหลังพระสมเด็จวัดระฆังฯ แท้ (มีบางท่านกล่าวว่า รอยปริขนานตามแนวขอบด้านหลังองค์พระนี้ อาจเกิดจากการตัดขอบจากด้านหน้าไปด้านหลังองค์พระได้เช่นกัน โดยบอกว่าเมื่อกดใบมีดลงจนเกือบสุดขอบแล้วปาดมีดออกทางด้านข้างจะทำให้เกิดแผ่นครีบบริเวณขอบพระด้านหลังและยังทำให้เนื้อพระแยกออกเกิดเป็นรอยปริแยกได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริง เหตุใดพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ที่มีลักษณะของการตัดขอบจากด้านหน้าไปด้านหลังอย่างชัดเจนทุกองค์ จึงไม่ปรากฏลักษณะรอยขอบปริดังกล่าวบริเวณด้านหลังองค์พระ โดยเฉพาะในองค์ที่มีเนื้อใกล้เคียงวัดระฆังฯ) สำหรับการตัดจากด้านหน้าไปด้านหลังองค์พระนั้น เป็นการตัดหลังจากที่มีการถอดองค์พระออกจากแม่พิมพ์แล้ว ร่องรอยการตัดมีความเรียบร้อยกว่าการตัดจากด้านหลังไปด้านหน้าองค์พระ เนื่องจากมองเห็นเส้นกรอบบังคับพิมพ์ขณะตัด
สำหรับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม นั้น ในขั้นตอนการสร้างส่วนใหญ่น่าจะเป็นการนำแม่พิมพ์ไม้ที่มีการแกะขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก (ตัดแบ่งจากแผ่นไม้ให้มีขนาดพอดีกับกรอบบังคับพิมพ์) กดลงไปบนเนื้อพระที่เตรียมวางเป็นแผ่นรออยู่ด้านล่างเพื่อความรวดเร็ว เนื่องจากต้องสร้างเป็นจำนวนมากในระยะเวลาจำกัด เมื่อยกแม่พิมพ์ไม้ขึ้น เนื้อพระบริเวณที่สัมผัสด้านข้างแม่พิมพ์จึงถูกดูดติดขึ้นมา และเมื่อตัดขอบจากบนลงล่างบริเวณข้างขอบปลิ้นด้านนอก จึงเป็นที่มาของการมีขอบปลิ้นที่มักพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมด้วยเช่นกัน การที่พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมบางองค์ ไม่พบขอบปลิ้นนั้น อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น เมื่อตัดขอบนั้นมีการตัดแคบเข้าไปในองค์พระ ทำให้ขอบปลิ้นถูกตัดทิ้งทั้งหมด หรือเป็นการใช้แม่พิมพ์วัดระฆังฯ มาสร้าง (กรณีนี้น่าจะเป็นการกดเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์)
ทิศทางของการตัดนั้น อาจจะสามารถสังเกตจากริ้วรอยขอบข้างได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่มีเม็ดมวลสารค่อนข้างมาก ทิศทางของรอยครูดของเม็ดมวลสารย่อมสามารถบ่งบอกทิศทางของการตัดขอบได้ด้วยเช่นกัน นิรนาม แห่งนิตยสารพรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เคยอธิบายไว้ว่า “พระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น มักจะแอ่นตัวในลักษณะบริเวณตรงกลางด้านหน้าองค์พระอยู่ในตำแหน่งต่ำสุด (คว่ำหน้าพระลง คล้ายท้องช้าง) ในขณะที่พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม นั้นจะแอ่นตัวในลักษณะตรงกันข้าม” สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” อนุมานว่าน่าจะเกิดจากการที่ในขณะที่ถอดพระสมเด็จวัดระฆังฯ ออกจากแม่พิมพ์นั้น จะต้องมีการดึงองค์พระขึ้นจากแม่พิมพ์ โดยอาจเป็นการใช้วัสดุบางอย่าง หรือใช้นิ้วมืองัดหรือดึงขึ้น โดยดึงจากบริเวณด้านข้างองค์พระ พระสมเด็จวัดระฆังฯบางองค์ นั้นปรากฏรอยนิ้วมือเป็นรอยบุ๋มลงไปเล็กน้อยบริเวณขอบข้าง คล้ายๆ เป็นการใช้นิ้วมือคีบดึงองค์พระ (น่าจะเป็นพระที่ถูกตัดขอบขณะยังอยู่บนแม่พิมพ์ ลักษณะนี้น่าจะเป็นการตัดขอบจากด้านหลังไปด้านหน้า) ขึ้นมาจากแม่พิมพ์ สำหรับกรณีของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่มักเกิดการแอ่นตัวในทิศทางตรงกันข้ามนั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสันนิษฐานว่าเกิดจากในขั้นตอนการสร้างนั้น เป็นการนำแม่พิมพ์ไม้กดลงไปบนเนื้อพระที่เตรียมเป็นแผ่นรออยู่ด้านล่าง เมื่อยกแม่พิมพ์ไม้ขึ้น เนื้อพระบริเวณด้านข้างจึงถูกดูดติดขึ้นมามากกว่าตรงกลาง เหมือนกับที่อธิบายข้างต้น เรื่องที่มาของขอบปลิ้นที่มักพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมด้วยเช่นเดียวกัน
บทส่งท้าย
ในการพิจารณาพระสมเด็จฯ ตามหลักการพิสูจน์หลักฐานนั้น ขอบปริ (พบได้ในบริเวณริมขอบด้านหลังพระสมเด็จวัดระฆังฯ) หรือ ขอบปลิ้น (พบได้ในบริเวณขอบด้านหน้าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม) ดังที่อธิบายมาข้างต้นนี้ ไม่ได้จัดว่าเป็นลักษณะเฉพาะ หรืออัตลักษณ์พระสมเด็จฯ ซึ่งควรจะต้องพบในพระสมเด็จฯ (พิมพ์ทรงมาตรฐาน) ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตทุกองค์ อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ลักษณะทั้งสองประการนี้ ถือว่าเอกลักษณ์สำคัญ โดยเมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ ขององค์พระ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว น่าจะเป็นตัวช่วยในการพิจารณาพระสมเด็จฯ แท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้ด้วยเช่นกัน สำหรับในกรณีของพระสมเด็จวัดเกศไชโย นั้นจะขออนุญาตนำเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์สังฆาฏิ แบบไม่มีหู (หรือมีแต่ติดไม่ชัด) ที่งดงามมากองค์หนึ่ง (พระพิมพ์สังฆาฏิเป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ที่พบมากที่สุด พอๆ กับพิมพ์เส้นด้าย) มีขี้กรุหนาปกคลุมทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ, มีวรรณะขาวอมเหลือง, พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา, มีความคมชัดกดเต็มพิมพ์, ปรากฏขอบปลิ้นชัดเจนสามด้าน ยกเว้นด้านล่าง ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม, มีลักษณะค่อนข้างบิดเบี้ยว น่าจะเกิดจากการถูกสัมผัสด้วยนิ้วมือ หรือวัสดุบางอย่างขณะยังอ่อนตัว, ขอบปลิ้นบางจุด พบการแซมทับกับเส้นกรอบบังคับพิมพ์, ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ ซึ่งเป็นลักษณะของหลังส่วนใหญ่ของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม และยังปรากฏคราบสีน้ำตาลคล้ายน้ำมันตังอิ๊วผุดขึ้นมา, ตัดขอบพอดีสามด้าน ยกเว้นด้านล่างองค์พระที่ตัดเลยกรอบบังคับพิมพ์ และขอบปลิ้นเข้ามา, เป็นองค์ต้นแบบที่ดี เพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์
อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ขอบปริ ขอบปลิ้น เอกลักษณ์สำคัญพระสมเด็จฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทำอย่างไรจึงจะดูพระสมเด็จฯเป็น
- ขอบปริ ขอบปลิ้น เอกลักษณ์สำคัญพระสมเด็จฯ
- พระสมเด็จฯเนื้อครู ตำราปูนตำโบราณ
- หลักพิจารณาพระสมเด็จฯ ลงรักปิดทองล่องชาด
- หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน พิสูจน์พระสมเด็จฯแท้
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath