คณิตศาสตร์โอลิมปิก: เด็กไทยคว้าเหรียญทองด้วยวัยเพียง 14 ปีได้อย่างไร
- ทัพพนัย บุญบัณฑิต
- ผู้สื่อข่าววิดีโอ บีบีซีไทย
"พิพิชชญะ ศรีดำ" เป็นตัวแทนประเทศไทยคนแรกและเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่สามารถคว้าเหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศมาได้ก่อนอายุ 15 ปี เบื้องหลังความสำเร็จของเขาไม่ได้เกิดจากความฉลาดหลักแหลมเพียงอย่างเดียว แต่ความหลงใหลในตัวเลขเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ในขณะที่ทั่วโลกต่างจับตาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ณ ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนอาคารสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ย่านสุขุมวิท ทัพนักคณิตศาสตร์รุ่นเยาว์ก็กำลังร่วมการแข่งขันระดับเพื่อหวังคว้าเหรียญรางวัลอยู่เช่นกัน
สสวท.
พิพิชชญะนั่งประจำที่ก่อนเริ่มการสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศผ่านระบบออนไลน์
สถานการณ์การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้พวกเขาไม่ได้เดินทางไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย เจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2564 (IMO 2021) แต่ทัพนักคณิตศาสตร์ไทยก็สามารถคว้า 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดงจากการสอบผ่านระบบออนไลน์เมื่อวันที่ 19-20 ก.ค. ที่ผ่านมาได้
- โอลิมปิกวิชาการ: 11 ปีผ่านไป ชีวิตหลังรับเหรียญของตัวแทนประเทศไทยเป็นอย่างไร ?
- "ไม่มีคำว่าสายถ้าเราจะเรียน" คติพจน์ของ "บัณฑิตยาย" วัย 91 ปี
- ปรัชญาโอลิมปิก: เจ้าของรางวัลแรกของไทยทำสำเร็จได้อย่างไร ?
"ภาคภูมิใจครับที่ได้เหรียญทองมา ระหว่างทางที่ผ่านมาสองปีกว่าก็ต้องทำโจทย์ บางทีก็อาจจะมีท้อถอยบ้าง แต่ว่าถ้าเราอดทนมาเรื่อย ๆ สุดท้ายมันก็จะประสบความสำเร็จครับ" พิพิชชญะ หรือ "สไปรท์" วัย 14 ปี ชั้น Year 9 (ม.3) จากโรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ 1 ใน 6 ตัวแทนประเทศไทยประจำปีนี้ กล่าวถึงความรู้สึกตอนที่ได้ทราบผลการแข่งขัน
เขาเป็นตัวแทนประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดในปีนี้และเป็น 1 ใน 8 คนที่สามารถคว้าเหรียญทองได้ก่อนอายุ 15 ปีนับตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันมา
เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา
พิพิชชญะบอกว่าเขาชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก และเริ่มมาศึกษาอย่างจริงจังหลังจากที่ค้นพบว่าตนเองมีความถนัดวิชานี้มากที่สุด โดยสาขาที่เขาชอบมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์เชิงการจัด ที่ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาในการนับและจัดเรียงวัตถุ
"ผมรู้สึกว่าคณิตศาสตร์มันมีความสวยงามตรงที่ว่ามันสามารถสร้างสรรค์ไปต่ออย่างไรก็ได้ มันไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรมากเท่าไหร่" เขาบอก
เขามักจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง พ่อของเขาบอกว่าลูกชายมักจะตั้งคำถามกับโจทย์และสูตรต่าง ๆ อยู่เสมอ จนในบางครั้งก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ลูกได้
"ประมาณ ป.2 เขาเริ่มมาถามผมอะไรแปลก ๆ บางทีก็บอกว่าโจทย์ผิดบ้าง" นพ. ณัฐพันธุ์ ศรีดำ พ่อของพิพิชชญะกล่าว "จนมา ป.3 เขาถามผมว่าแคลคูลัสคืออะไร ในขณะที่เนื้อหาตามบทเรียนของเขายังเป็นแค่บวกลบคูณหาร"
พิพิชชญะวัย 14 ปีเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาพี่น้อง 3 คนที่เกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่เป็นหมอทั้งคู่ พ่อของเขาบอกว่าทางครอบครัวไม่ได้กดดันให้ลูกต้องเป็นเด็กเก่ง แต่จะเน้นสนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบมากกว่า เพราะเขามองว่า "เมื่อใดที่เด็กแข่งขันกัน เมื่อนั้นเด็กจะเริ่มเห็นแก่ตัว"
PIPITCHAYA SRIDAM
พิพิชชญเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาพี่น้อง 3 คน พ่อของเขาบอกว่าลูกแต่ละคนมีความชอบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เขาเป็นเด็กที่ไม่เหมือนคนอื่น เขาทำคณิตศาสตร์เพราะความชอบ เขาไม่ได้คิดจะแข่งขันกับใคร เขาแค่ทำไปเพราะรู้สึกท้าทาย" นพ. ณัฐพันธุ์ กล่าว "เขามักจะแก้โจทย์ด้วยวิธีของเขา ไม่ค่อยตอบตามสูตรและไม่ชอบดูเฉลย เหมือนเขาไม่ได้เน้นแสวงหาคำตอบแต่จะเน้นไปที่การหาวิธีทำและที่มาของผลลัพธ์มากกว่า"
เช่นเดียวกับนักเรียนหลาย ๆ คน พิพิชชญะเองก็ต้องพึ่งพาติวเตอร์เพื่อช่วยให้เข้าใจบทเรียนมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะความสนใจของเขาไปไกลกว่าเนื้อหาในห้องเรียน
"ถ้าเราเรียนพิเศษ ความรู้ที่เราได้ก็จะเท่ากับหรือไม่มากไปกว่าติวเตอร์ และด้วยความที่เราอยู่ต่างจังหวัด เลยไม่ค่อยมีที่เรียนมากนัก ผมจึงอยากให้เขาได้ภาษา เลยส่งเขาเรียนอินเตอร์เพื่อที่เขาจะได้ศึกษาหาความรู้จากเว็บไซต์ต่างประเทศด้วยตนเอง ถ้าเราเรียนเอง เราก็จะได้ความรู้ที่ไม่จำกัด" นพ. ณัฐพันธุ์ กล่าว
แม้นักเรียนโอลิมปิกคนนี้จะผ่านการฝึกทำข้อสอบมามากมาย แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาเองก็รู้สึกว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยากและติดขัดระหว่างทำโจทย์ นักเรียนระดับหัวกะทิแนะนำว่าผู้เรียนคณิตศาสตร์ควรปรับมุมมองการมองโจทย์และคิดว่ามันเป็นเหมือนปัญหาอย่างหนึ่งที่เราควรเพลิดเพลินในการหาคำตอบ
"ส่วนใหญ่คนจะมองว่าเลขเต็มไปด้วยทฤษฎี เต็มไปด้วยสูตรอะไรต่าง ๆ มากมายใช่ไหมครับ เขาอาจจะไม่ค่อยชอบจำและมองว่าไม่ได้นำไปใช้อะไรในชีวิตประจำวันนัก แต่ถ้าเกิดบางทีเรามองย้อนกลับไปว่าแต่ละสูตรมันมีที่มาอย่างไร เราอาจจะไม่ต้องมองกลับไปในชีวิตประจำวันก็ได้ แต่ให้เราหลุดไปในอีกมิติหนึ่งเลยและไปสนุกสนานกับมิตินั้นครับผม" พิพิชชญะกล่าว
"ถ้าเกิดเรามองให้มันสนุกไปกับมัน เราก็ไม่เครียดครับ"
เส้นทางสู่คณิตศาสตร์โอลิมปิก
การแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้มีเยาวชนกว่า 619 คนจาก 107 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ข้อสอบประกอบไปด้วยคำถาม 6 ข้อที่ถูกเลือกมาจากเนื้อหาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาหลายสาขา ผู้เข้าแข่งขันจะต้องหาคำตอบและแสดงวิธีทำ โดยแต่ละคำถามมีคะแนนเต็ม 7 คะแนน
ผู้เข้าแข่งขันต้องทำคะแนนรวมให้ได้ 24, 19 และ 12 คะแนนจากคะแนนเต็ม 42 คะแนน จึงจะได้เหรียญทอง, เงิน และทองแดงตามลำดับ
เส้นทางกว่าที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศนั้น อาจจะไม่ต่างอะไรกับนักกีฬาโอลิมปิกมากนัก
PIPICHAYA SRIDAM
พิพิชชญะเดินสายแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขาบอกว่าเขาต้องการท้าทายตัวเองเท่านั้น
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาจะต้องเริ่มจากการสอบแข่งขันเพื่อเข้าค่ายของมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา (สอวน.) ตามภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นด่านแรกสู่เส้นทางการเป็นนักเรียนโอลิมปิก
เมื่อผ่านค่าย สอวน. 2 ค่ายแล้ว ตัวแทนจากภูมิภาคต่าง ๆ จะต้องเข้าแข่งขันโอลิมปิกระดับชาติเพื่อคัดคนเข้าค่าย สสวท. ที่กรุงเทพ ซึ่งในด่านนี้ นักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องมาเก็บตัวฝึกฝนทำโจทย์และสอบแข่งขันอีก 2 ครั้งเพื่อคัดคนให้เหลือแค่ 6 คน เป็นตัวแทนประเทศในที่สุด
"จริง ๆ ผมเริ่มเดินสายแข่งขันมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้วครับ แต่เส้นทางสู่คณิตศาสตร์โอลิมปิกของผมเริ่มได้ประมาณชั้น ป.6 ผมก็เข้าค่ายมาเรื่อย ๆ ในแต่ละค่ายเราต้องฝึกฝนทำโจทย์ โดยเทคนิคของผมคือทำโจทย์ที่สูงกว่าค่ายของเราไปอีกค่ายหนึ่งเพื่อฝึกตนเองไปอีกขั้น" พิพิชชญะเล่าถึงประสบการณ์การเก็บตัวในค่ายในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา
ในระหว่างการเก็บตัว นักเรียนโอลิมปิกจะได้ฝึกฝนทำข้อสอบเก่ากับวิทยากรที่เป็นอดีตตัวแทนประเทศรุ่นพี่ รวมไปถึงเข้ารับการอบรมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างทักษะการเข้าสังคมเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปแข่งขันที่ต่างประเทศ
สสวท.
บรรยากาศในค่ายของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ก้าวต่อไปหลังได้เหรียญ
สำหรับเส้นทางต่อไปในอนาคตหลังจากนี้ พิพิชชญะซึ่งในขณะนี้อยู่ชั้นเทียบเท่า ม.3 บอกว่าเขาสนใจที่จะศึกษาต่อด้านคณิตศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์เมื่อเขาจะต้องเลือกเส้นทางเดินต่อไปในชีวิตในอีก 3 ปีที่จะถึงนี้
เมื่อถามผู้เป็นพ่อ เขากล่าวสั้น ๆ ว่าเขาไม่ได้มีเป้าหมายให้ลูกเป็นพิเศษ
"ผมอยากให้เขาอยู่อย่างมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรงก็พอ" นพ. ณัฐพันธุ์ พ่อของพิพิชชญะกล่าว
ถึงแม้เขาจะมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็นับเป็นส่วนน้อยเพราะในขณะเดียวกัน สมรรถภาพของนักเรียนไทยก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเหมือนเขานัก
PIPITCHAYA SRIDAM
ตามผลสำรวจล่าสุดในปี 2018 ของ PISA ซึ่งเป็นการทดสอบความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ พบว่า ไทยยังคงได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในทั้ง 3 ด้าน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 58 จากทั้งหมด 79 ประเทศสำหรับการประเมินความรู้ด้านคณิตศาสตร์
พิพิชชญะมองว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาคือ "ปัญหาสมองไหล" ที่เขาเห็นว่านักเรียนแถวหน้าของไทยที่มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศบางส่วนเลือกที่จะทำงานในต่างประเทศ "ที่มันได้เงินหรืออะไรมากกว่า"
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าตัวเขาก็ยังเห็นรุ่นพี่อดีตนักเรียนโอลิมปิกหลายคนกลับมาเป็นอาจารย์หรือนักวิจัยและคอยมาช่วยสอนนักเรียนโอลิมปิกรุ่นต่อ ๆ ไปอยู่
"คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องอาศัยหลักความเข้าใจและเหตุผลครับผม ซึ่งจะช่วยคุณจัดการกับปัญหาชีวิตคู่ครับ" พิพิชชญะกล่าวติดตลก
+++++
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ข่าวสด เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว