รัฐสภาโหวต ไม่เอา ส.ส.ร. เพื่อไทย-ปชน.ห่วงบางสีกินรวบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ในวาระ 2 มาตราที่ 4 ซึ่งเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 256/1 ที่คณะกรรมาธิการข้างมากกำหนดไว้ 2 องค์กร คือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1
กล่าวคือให้ สส. และ สว. รวมกัน 20 คน เลือกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้ 1 คน และเลือกคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ โดยที่ประชุมมีมติ 328 ต่อ 266 งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
แม้ว่าพรรคเพื่อไทย นำโดย “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สงวนความเห็น และต้องการให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาจากการเลือกของประชาชน 300 คนทั่วประเทศ และให้รัฐสภาเลือกเหลือ 100 คน
โดยมีหลักประกันว่าอย่างน้อยต้อง มี ส.ส.ร. จังหวัดละ 1 คน ซึ่งมั่นใจไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกำหนดไว้เพียงว่าห้ามมิให้รัฐสภาเลือกผู้ร่างจากประชาชนโดยตรง แต่วิธีการที่เราเสนอเป็นเรื่องของผู้ที่สมควรจะสมัครไปสมัครแล้วให้ประชาชนเลือกเบื้องต้น และให้รัฐสภาเลือก ส.ส.ร.เหลือ 100 คน จึงมิใช่การเลือกผู้ร่างโดยตรง
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ ผู้สงวนความเห็น อภิปรายชี้ว่าสูตร 20 หยิบ 1 หากใครครอบครองเสียงข้างมากในสภาได้ ย่อมยึดกุมผู้ยกร่างได้ และกำหนดประเทศได้
“ผู้ที่ครองเสียงข้างมากในสภาฯ ชุดที่ 27 และรัฐสภา บวกกับ สว. ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นั่นแหละคือรัฐสภาชุดนั้น ผู้ที่ครองเสียงข้างมากได้สามารถจะชี้นำครอบงำผู้จะมาเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้ แม้เราจะใช้วิธีการสูตร 20 หยิบ 1 สุดท้ายก็เป็นไปตามเสียงข้างมาก และเสียงข้างมากทำ 2 อย่างในคราวเดียวกัน คือยกร่าง และเห็นชอบร่างเลยก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เบ็ดเสร็จอยู่ในตัว 35 คน กำหนดประเทศได้”
“ถ้า 35 คนเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญสุ่มเสี่ยงต่อการชี้นำ ตั้งแต่กระบวนการการรับสมัครเบื้องต้น ซึ่งในร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมากก็เสมือนจะไปเอื้อให้กับคนกลุ่มนี้ถูกจัดตั้งมาตั้งแต่แรก 35 คนใส่ชื่อมาได้ทันที และผู้สนับสนุนอีก 100 คน บุคคลทั่วไปยากมากที่จะไปหาผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง 100 คนแล้วมาสนับสนุน ตัวเองให้สมัครเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่แล้วง่ายมากที่จะมีผู้รับรอง ฉะนั้น ข้อสงวนของผม จึงต้องการที่จะตัดประเด็นนี้ออกไปเพื่อลดการครอบงำชี้นำให้มากที่สุด”
ด้าน “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า สิ่งที่อยากชวนทุกคนคิด คือกลไกและกระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทุกคนอยากได้นั้นเป็นอย่างไร ทุกคนมีคำตอบในใจที่เหมือนกัน คืออยากได้กระบวนการที่ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในประเทศนี้สามารถกินรวบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญในกระบวนการต่อไปได้ มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด มั่นใจได้ว่าผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ยกร่างจะทำให้ทิศทางของประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และมีการปลดล็อกเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปในอนาคตให้สามารถทำได้อย่างมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ติดล็อกอย่างที่เป็นอยู่แบบในปัจจุบัน
“พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่สงวนความเห็น
“มาตรา 256/1 เป็นมาตราที่เป็นหัวใจของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพราะเป็นการกำหนด “โครงสร้าง” ขององค์กรหรือกลไกที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หากการประชุมในวันนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 กันยายน 2568 ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องเถียงมาตรานี้อย่างหนักเท่าวันนี้ เพราะ ณ เวลานั้น พรรคการเมืองหลัก ๆ เห็นตรงกันว่ากลไกที่จะมีความชอบธรรมมากที่สุดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ “ผู้ร่าง” หรือ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง”
“แต่พอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายนระบุว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้” ทุกฝ่ายและทุกพรรคการเมืองจึงต้องเผชิญข้อจำกัดที่มากกว่าเดิม”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผมและพรรคประชาชน พวกเราได้พยายามออกแบบ “โครงสร้าง” ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เราเห็นว่าสามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้มากที่สุดและใกล้เคียงกับการมีผู้ร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนมากที่สุดโดยไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
โครงสร้างที่ว่านี้ มีการแบ่งออกเป็น 2 กลไกที่ทำงานคู่ขนาน คือ กลไกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนเลือกมาก่อน 70 คน ก่อนจะส่งให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมรูปแบบหนึ่ง กลไกสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ในการรับฟังและรวบรวมความเห็นของประชาชนเพื่อมาสะท้อนต่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรง 100 คน ซึ่งเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างและทุกคำสงวนความเห็นที่พยายามคงกลไกการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
“แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทางคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ลงมติ ไม่เห็นชอบ กับกลไกดังกล่าว ในส่วนของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเสียงข้างมากลงมติ ไม่เห็นชอบ กับการเปิดให้ประชาชนไปเข้าคูหาเพื่อเลือกผู้ร่างมา 70 คนก่อนส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน ในส่วนของสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเสียงข้างมากลงมติ “ไม่เห็นชอบ” กับการมีสภาที่ปรึกษา 100 คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และในที่สุดถูกแปลงเปลี่ยนไปเป็นการมีคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ 35 คนแทน”
“ยืนยันว่าหากสมาชิกรัฐสภาเห็นว่า 2 กลไกที่พรรคประชาชนเสนอเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ท่านสามารถลงมติเห็นชอบกับร่างเดิม หรือข้อเสนอของกรรมาธิการพรรคประชาชนได้ เพราะข้อเสนอดังกล่าวไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ”
อย่างไรก็ตาม การลงมติของสมาชิกรัฐสภาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ หากรัฐสภาลงมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอตน ก็แสดงว่าว่าสมาชิกส่วนใหญ่ตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนกับตน แต่หากรัฐสภาลงมติยืนยันตามข้อเสนอตน ก็จะเป็นการยืนยันว่ารัฐสภาแห่งนี้เห็นว่าข้อเสนอตนไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและพร้อมเดินหน้าต่อในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกผู้ร่างมาเบื้องต้น และในการเลือกสภาที่ปรึกษาทางตรง ตามแนวทางในร่างของพรรคประชาชน
สุดท้าย ที่ประชุมร่วมรัฐสภา เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ให้มี 2 องคาพยพในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และ คณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ
ขณะที่การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256/2 ที่กำหนดให้ผู้สมัครเป็นคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องแนบวิสัยทัศน์ และมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรอง 100 คน นั้น
“จาตุรนต์ ฉายแสง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ตามกลไกที่ กมธ.เสียงข้างมากเสนอ คิดว่าจะมีผู้สมัครจำนวนมากนับหมื่นคน แต่ในข้อเท็จจริงเชื่อว่าพรรคการเมืองจะเตรียมคนของตัวเองไว้แล้ว
ดังนั้น การสมัครจะมีผู้สมัครน้อย เพราะรู้ว่าพรรคการเมือง หรือ สว. ที่รวมกลุ่มกัน จะเลือกใคร และให้ใครไปสมัคร ด้วยสูตร 20 หยิบ 1 จะล้มเหลว ที่คิดว่าเลือกจากคนที่หลากหลาย แต่ด้วยสิ่งที่กำหนดจะทำให้การคัดเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญซบเซา คนทั้งประเทศไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีคนสมัคร เพราะไม่อยากไปให้เสียเวลา หากไม่ได้รับการติดต่อหรือทาบทามมาก่อน
สูตร 20 หยิบ 1 มีความกังวลต่อความรู้ความสามารถของบุคคลที่มาทำร่างรัฐธรรมนูญ หรืออาจกระจุกตัวอยู่ในบางคุณสมบัติ ทำให้คนร่างไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่หลากหลายเพียงพอ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงสงวนความเห็นให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยให้รัฐสภาเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติ ความเชี่ยวชาญตามที่กำหนด เพื่อประโยชน์ต่อการร่างรัฐธรรมนูญ
การที่กำหนดให้มาจากสูตร 20 หยิบ 1 เชื่อว่าคนจะมีส่วนร่วมน้อย ควรกำหนดสัดส่วนให้มีผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามมีองค์ประกอบที่น่ากลัว คือ เสียงข้างมากรัฐสภากำหนดได้ไปหมด กำกับโดยเสียงข้างมากของรัฐสภาที่รวมตัวกัน กำหนดทิศทางของรัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด
สุดท้ายที่ประชุมลงมติเห็นชอบกับกรรมาธิการเสียงข้างมากที่กำหนดให้ผู้สมัครเป็นคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องแนบวิสัยทัศน์ และมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรอง 100 คน 315 ต่อ 255 เสียง งดออกเสียง 17 ไม่ลงคะแนน 4 เสียง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รัฐสภาโหวต ไม่เอา ส.ส.ร. เพื่อไทย-ปชน.ห่วงบางสีกินรวบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net