โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สรุป #คดีนานาไรบีนา จากคนดังสู่ดคีฉ้อโกง พร้อมบทเรียนราคาแพง

เชียงใหม่นิวส์

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • Chiang Mai News

เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีอยู่กระแสข่าวหนึ่งที่ผู้คนได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ “คดีฉ้อโกงของนานา ไรบีนา” จากบุคคลในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียงสู่การเป็นผู้ต้องหาในคดี ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างล้นหลาม

.

เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากได้มีแฟนเพจหนึ่งเผยว่า มีดาราระดับตัวแม่ อักษรย่อ น ได้ชวนคนใกล้ตัวมาร่วมลงทุนและจะได้รับดอกเบี้ยกับเงินปันผลแบบรายเดือน แต่สุดท้ายไม่มีเงินคืนจึงทำให้เกิดความเสียหาย รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ต่อมาสื่อต่าง ๆ ได้พยายามขุดหาว่าอักษรย่อ น นั้นคือใคร จนนานาไรบีนาได้ออกมาไลฟ์สดยอมรับนั้นว่าเป็นเธอจริง แต่ก่อนที่จะออกมายอมรับก็ได้มีคนใกล้ตัวนานาที่เคยชวนร่วมลงทุนออกมาเผยว่าโดนหลอกจริง เช่น คุณข้าวโพด คุณเจนนี่ และคนอื่น ๆ อีก 17 ราย และเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 ธันวาคม ตำรวจได้เข้าจับกุมที่บ้านของนานาข้อหาฉ้อโกงทรัพย์และกู้ยืมทรัพย์ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หลังจากตำรวจเข้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีการชวนลงทุนอยู่ 4 รูปแบบ คือ 1.ธุรกิจปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูง 2.เทรดหุ้นร่วมกับผู้มีชื่อเสียง 3.ลงทุนหุ้นธุรกิจกีฬา ร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ 4.กองทุนธุรกิจครอบครัวโดยมีการอ้างชื่อนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

.

การเป็นหนี้ของนานาเกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัย 1.การบริหารเงินที่ผิดพลาดและการทำธุรกิจที่ล้นจนเกินตัว เนื่องจากนานามีสถานะทางการเงินขัดคล่องตั้งแต่ปี 2565 และหมุนเงินไม่ทันจึงทำให้ต้องหลอกคนใกล้ตัวว่านำไปเงินลงทุนร่วมกับคนอื่น แต่ถ้าจริงแล้วนำเงินหมุนเวียนให้กับธุรกิจตัวเอง 2.ต้นทุนทางสังคมและกับดักภาพลักษณ์ นานาได้ออกมายอมรับว่าส่ิงที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพียงแค่เพราะต้องการรักษาสถานะทางสังคมที่หลายคนมองว่านานาเป็นหนึ่งในเศรษฐีเบอร์ต้นของประเทศ เธอไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวว่าเพื่อนจะไม่คบ และไม่อยากเสียหน้าในสังคม 3.การระดมทุนที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อสถาบันทางการเงินอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่รวดเร็ว นานาจึงใช้วิธีชักชวนเพื่อนและคนใกล้ตัวมาร่วมลงทุนโดยมีการอ้างถึงนายทุนเจ้าใหญ่ที่จะให้ดอกเบี้ยสูงได้ มีการใช้เช็คเงินค้ำประกันทั้ง ๆ ที่เงินในบัญชีไม่เพียงพอ ซึ่งเข้าข่ายการลงทุนแบบแชร์ลูกโซ่นั่นเอง

.

จากเหตุการณ์นี้สามารถเป็นบทเรียนและกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่การบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด แต่คือการบริหารด้านการเงินในส่วนธุรกิจและตนเองที่ผิดพลาดด้วย เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนบทเรียนราคาแพงให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการให้ตระหนักได้ว่า กำไรทางบัญชีไม่เท่ากับเงินสดในมือและภาพลักษณ์ความสำเร็จไม่ได้เท่ากับความมั่นคงทางการเงินนั่นเอง

.

ที่มา : the standard

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...