โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘ซูชิ’ ครองแชมป์ร้านอาหารญี่ปุ่น ‘ปิดตัวมากที่สุด’ เหตุผู้บริโภคมองหา ‘รสชาติต้นตำรับในราคาย่อมเยา' สวนทางต้นทุนที่สูง

Positioningmag

อัพเดต 08 ม.ค. เวลา 08.42 น. • เผยแพร่ 08 ม.ค. เวลา 08.42 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า มูลค่าของธุรกิจร้านอาหารปี พ.ศ. 2567 จะเติบโตขึ้น 8.9% จากปีก่อน คิดเป็น 5.45 แสนล้านบาท โดยร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะเติบโต 6.9% จากปีก่อน คิดเป็น 2.07 แสนล้านบาท ซึ่งร้านอาหารญี่ปุ่นจำนวนมากจัดอยู่ในกลุ่มนี้ และจำนวนร้านเริ่มเติบโตได้น้อยลง อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

ร้านอาหารญี่ปุ่นเริ่มโตอืด

จากการสำรวจของ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯพบว่า การเติบโตของร้านอาหารญี่ปุ่น ในประเทศไทย ปี 2567 ที่ผ่านมาจะเริ่ม ชะลอตัวอันเป็นผลจากการแข่งขัน และสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้มีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่เพียง165 ร้านหรือเติบโต +2.9%รวมทั้งหมดเป็น5,916 ร้านโดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการเติบโต 2.7% ส่วนในต่างจังหวัดเติบโต 3.1%
สำหรับประเภทร้านอาหารที่ปิดมากที่สุด ได้แก่

  • ซูชิเหลือ 1,279 ร้าน -6.8%

  • สุกี้/ชาบู เหลือ 448 ร้าน -1.1%

  • ข้าวหน้าเนื้อเหลือ 162 ร้าน -4.1%

  • ข้าวแกงกะหรี่/ข้าวห่อไข่ เหลือ 156 ร้าน -1.3%

คุโรดะ จุน ประธานเจโทร กรุงเทพฯ อธิบายว่า ร้านซูชิซึ่งเป็นประเภทร้านที่มีจำนวนร้านมากที่สุดตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2566 โดยปัจจัยที่ร้านซูชิปิดเยอะเป็นเพราะ การแข่งขัน ที่สูงขึ้น เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมามีร้านซูชิคุณภาพดีและราคาไม่แพงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องการซูชิที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นกว่าในอดีต ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร้านซูชิที่แข่งขันกันด้านราคา
ขณะเดียวกัน ต้นทุนก็สูงขึ้นต่อเนื่องทั้งจากราคาวัตถุดิบ และค่าแรงต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ร้านซูชิในไทยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก บางส่วนเป็นร้านแฟรนไชส์ ดังนั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะมีบางร้านที่เลือกจะไม่ต่อสัญญา รวมถึงมีบางส่วนที่เปลี่ยนจากขายซูชิอย่างเดียว ไปขายอาหารประเภทอื่น ๆ รวมด้วย

สำหรับประเภทร้านอาหารที่เปิดใหม่มากที่สุด

  • ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นจำนวน 1,439 +6.3%

  • ราเมง จำนวน 802 ร้าน +8.2%

  • อิซากายะ จำนวน 480 ร้าน +9.8%

  • ปิ้งย่าง จำนวน 433 ร้าน +3.8%

  • คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น 329 ร้าน +13.1%

  • แฮมเบิร์ก จำนวน 151 ร้าน +4.9%

  • อาหารทอด เช่น ทงคัตสึ, เทมปุระ149 ร้าน +9.6%

  • อุด้ง/โซบะ จำนวน36 ร้าน +16.1%

“ที่อาหารประเภทเส้นเติบโตเยอะเป็นเพราะคนไทยรู้จักและคุ้นเคย สามารถทานง่าย ไม่ยุ่งยาก วัตถุดิบก็หาง่ายกว่าการทำซูชิ ทำให้ร้านเปิดได้ง่าย ส่วนร้านอิซากายะก็ได้รับความนิยมจากคนไทยมาก เพราะสามรถนั่งกินดื่มได้แบบสบาย ๆ โดยเฉพาะร้านที่เป็นย้อนยุคคนไทยจะชอบ ส่วนร้านคาเฟ่เติบโตได้ดีในต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว”

ร้านพรีเมียมหัวละ 1,000+ เพิ่มขึ้นมากที่สุด

เมื่อวิเคราะห์ร้านตามระดับราคาเฉลี่ยต่อหัวพบว่า ร้านที่มีราคาเฉลี่ยต่อหัว

  • ราคา 101 - 250 บาท(2,057 ร้าน) +3%

  • ราคา 251 - 500 บาท(1,401 ร้าน) +4.4%

  • ราคา ต่ำกว่า 100 บาท (749 ร้าน) +2.4%

  • ราคา 501 - 1,000 บาท(681 ร้าน) -6.4%

  • ราคา มากกว่า 1,000 บาท (270 ร้าน) +13.9%

“ในไทยสามารถแบ่งผู้บริโภคได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้องการร้านอาหารที่ราคาไม่สูงมาก และกลุ่มที่ต้องการทานร้านพรีเมียม อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ทานร้านที่ราคาไม่สูงมาก ก็ยอมจ่ายแพงขึ้นได้ในบางโอกาส”

ร้านเฉพาะทางจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเติบโตของจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะชะลอตัวลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนที่สูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค แต่เชื่อว่าจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะยังเติบโตได้ เพราะประเทศไทยมีการรับประทานอาหารญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน ชาวไทยจึงคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะใน ต่างจังหวัดที่ยังมีโอกาสเติบโต
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมากถึง 1 ล้านคน/ปีทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดแนวโน้มของผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมพร้อมทั้งค้นหาเทรนด์ใหม่ ๆ ของอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้น มองว่า เทรนด์ต่อไปของร้านอาหารญี่ปุ่นจะเป็น ร้านเฉพาะทาง เช่น ร้านแฮมเบิร์ก HIKINIKU TO COME ที่พึ่งมาเปิดในไทย เป็นต้น
ปัจจุบัน ไทยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นมากเป็น อันดับ 6 ของโลก ตามหลัง จีน (78,760 ร้าน), สหรัฐอเมริกา (26,040 ร้าน), เกาหลีใต้ (18,210 ร้าน), ไต้หวัน (7,440 ร้าน) และ เม็กซิโก (7,120 ร้าน)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...