โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

เปิดเวที “Nabi Fellows” ย้ำบทบาทสื่อฯ กับการนำเสนอข่าว “ขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติยุคใหม่”

77kaoded

อัพเดต 06 ธ.ค. เวลา 01.00 น. • เผยแพร่ 05 ธ.ค. เวลา 18.00 น. • 77Kaoded

เปิดเวที “Nabi Fellows” ย้ำบทบาทสื่อฯ กับการนำเสนอข่าว “ขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติยุคใหม่”

กรุงเทพฯ – เครือข่าย Nabi Fellows: Communicator for Good Network ได้จัดเวทีเสวนาว่าด้วยบทบาทของสื่อในประเด็นการค้ามนุษย์ยุคใหม่ ผู้เชี่ยวชาญชี้ อาชญากรฉวยโอกาสจากระบบยุติธรรม หนุนสื่อยุติการผลิตซ้ำภาพจำและการตีตรา ภายใต้การจัดงานของ Nabi Asia ร่วมกับ มูลนิธิโอเพ่นแกรนท์ ณ KX Knowledge Xchange วงเวียนใหญ่ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักสื่อสาร นักกิจกรรมภาคประชาสังคม และผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อร่วมถอดบทเรียนจากพื้นที่จริงและตั้งคำถามกับสังคมในหัวข้อ “เมื่อเหยื่อ (ผู้เสียหาย) กลายเป็นผู้ต้องหา สื่อควรทำหน้าที่อย่างไร ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือซ้ำเติมความอยุติธรรม” โดยมีประเด็นหลัก ได้แก่ การค้ามนุษย์เพื่อบังคับให้ก่ออาชญากรรม (Forced Criminality), พัฒนาการของอาชญากรรมไซเบอร์, การตีตราในพื้นที่สื่อ และความเงียบของกระบวนการยุติธรรมไทยเส้นแบ่งระหว่างผู้เสียหายกับอาชญากรพร่าเลือน โดยเวทีนี้ไม่ได้เพียงเปิดพื้นที่ให้พูดถึงปัญหา หากยังท้าทายให้ “สื่อ” กลับมาทบทวนบทบาทของตนเอง ว่าเราจะ “สื่อสารเพื่อใคร และเพื่ออะไร” ในสังคมที่ความจริงไม่เคยเรียบง่าย

คุณจารุวัฒน์ จิณมรรคา (ปอม) ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเอ็มมานูเอล (Immanuel Foundation) ได้กล่าวถึงข้อมูลจากการลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากขบวนการหลอกลวงให้เข้าไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยจุดเริ่มต้นของมูลนิธิฯ เริ่มจากการศึกษาเรื่องการค้ามนุษย์เชิงบังคับให้ก่ออาชญากรรมตั้งแต่ปี 2561 และเริ่มช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างจริงจังในปี 2564 โดยในปี 2568 เพียงปีเดียว สามารถช่วยเหลือออกมาได้ 767 ราย ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เสียชีวิตในศูนย์สแกมเมอร์ที่ตรวจสอบได้อย่างน้อย 12 ราย และสามารถนำกลับมายังประเทศไทยได้ 6 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากการถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าทิ้งเมื่อไม่สามารถทำยอดได้ตามเป้า

ปัจจุบันผู้เสียหายไม่ได้จำกัดเพียงกลุ่มคนยากจนหรือแรงงานไร้ฝีมือ แต่ขยายไปสู่กลุ่มผู้ที่มีวุฒิการศึกษาสูงและสามารถสื่อสารภาษาอื่นๆได้ เพื่อไปทำสแกมประเภทหลอกลงทุน ส่วนกลุ่ม Influencer ที่มีหน้าตาดีจะถูกเลือกไปทำสแกมวิดีโอคอล เพราะสร้างความน่าเชื่อถือได้และถูกตั้งราคาซื้อขายมากกว่าในระดับหลักหมื่นถึงแสนบาท และพบว่ากระบวนการล่อลวง เริ่มจากการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ รับสมัครงานทั่วไปบนแพลตฟอร์มโซเชียล Facebook, TikTok และ IG โดยใช้ข้อความคลุมเครือ อาทิ “แอดมิน”, “ตอบแชท”, “แพ็คสินค้า” หรือ “งานออนไลน์ Work from Home” จากนั้นจะนัดให้ผู้สมัครงานเดินทางมาพบแล้วพาไปยังจังหวัดชายแดนเช่น จันทบุรี สระแก้ว เพื่อข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและเมื่อถึงที่หมายซึ่งมักเป็นอาคารปิดล้อม มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังรัดกุม ผู้เสียหายจะถูกยึดเอกสารระบุตัวตน ถูกสแกนใบหน้าเพื่อเปิดบัญชีธนาคารใช้เป็น “บัญชีม้า” หากขัดขืนจะถูกทำร้ายและกักขังหรือขายต่อให้เครือข่ายอื่น

ตัวแทนจากมูลนิธิอิมมานูเอลกล่าวด้วยว่า เมื่อถูกบังคับให้ใช้บัญชีส่วนตัวไปพัวพันกับเส้นทางการเงินแล้ว หนึ่งในปัญหาใหญ่คือ การคัดแยกผู้เสียหาย (Screening) ที่ในหลายกรณีเจ้าหน้าที่จะใช้วิธีดำเนินคดีในฐานะคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองหรือผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง แทนการเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายตามมาตรฐาน NRM (National Referral Mechanism) ทำให้เกิดภาวะ Double Victimization หรือการตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน

สำหรับประเด็น “องค์ประกอบของการค้ามนุษย์” (TIP for FC) คุณอภิรดี เทียนทอง ที่ปรึกษาอิสระด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศมากว่า 20 ปี ระบุว่า การค้ามนุษย์ตามกรอบ พิธีสารปาแลร์โม (Palermo Protocol) ต้องประกอบด้วย 3องค์ประกอบ คือ การกระทำ (Action) เช่น การจัดหา, ขนส่ง, ส่งต่อ, จัดให้อยู่อาศัย หรือรับตัวบุคคล วิธีการ (Means) เช่น การข่มขู่, ใช้กำลัง, ลักพาตัว, ฉ้อฉล, หลอกลวง, ใช้อำนาจครอบงำ, หรือจ่ายเงินให้ผู้ปกครอ และ วัตถุประสงค์ (Purpose) การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เช่น การบังคับใช้แรงงาน, การบังคับเป็นทาส, หรือบังคับให้กระทำความผิด ข้อยกเว้นกรณี “เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี” แม้ไม่มี “วิธีการ” เช่น การข่มขู่หรือหลอกลวง แต่หากมีการกระทำและวัตถุประสงค์ ก็ถือว่าเป็นการค้ามนุษย์ทันที เพราะเด็กยังไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจด้วยตนเอง

สถานการณ์ที่น่ากังวล: ไทยในฐานะ “ทางผ่าน” จากข้อมูลของ OHCHR ปี 2568 มีผู้ถูกกักขังในศูนย์สแกมในเมียนมาอย่างน้อย 120,000 คน และในกัมพูชา อีก 100,000 คน โดยประเทศไทยกลายเป็น “เส้นทางผ่าน” ของขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ โดยเหยื่อจำนวนมากมาจากประเทศในแอฟริกา, เอเชียใต้ และประเทศพัฒนาแล้ว เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนจะถูกพาข้ามแดนไปยังเมียนมา, กัมพูชา หรือ สปป.ลาว โดยใช้ช่องทางธรรมชาติ

คุณวิภาพรรณ วงษ์สว่าง ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและสิทธิมนุษยชนจาก Thaiconsent – Social Change Consulting & Media Agency ร่วมแลกเปลี่ยนบทวิเคราะห์จากการทำงานรณรงค์ร่วมกับองค์การนานาชาติในประเด็นอาชญากรรมไซเบอร์ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ระบุว่า อาชญากรรมไซเบอร์ขยายเป้าหมายจากจากองค์กรไปสู่ประชาชนทั่วไป และขยายความเสียหายจากการสูญเงิน ไปสู่การสูญอิสรภาพ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ การถูกตัดอวัยวะ หรือสูญเสียแก่ชีวิต โดยจุดสำคัญของกลไกนี้คือ อาชญากรใช้ความเชื่อใจเป็นเครื่องมือ ทำให้การเดินทางข้ามพรมแดนนี้ดู “ปกติ” จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีการลักพาตัว ไม่มีอาวุธ ไม่มีการบังคับในที่แจ้ง โดยล่อลวงให้เหยื่อ “สมัครใจเดินทางเข้าประเทศ” ด้วยความหวังว่าจะได้งานที่ดีกว่าในประเทศของตน แต่ลงเอยที่การถูกขายต่อและถูกใช้งานเหมือนสินค้า และเมื่อพวกเขากลับออกมาได้ ไม่ว่าจะด้วยการหลบหนี การจ่ายค่าไถ่ หรือการสร้างความไว้วางใจว่าจะออกไปเป็นนายหน้าจัดหาเหยื่อมาให้ใหม่ สังคมภายนอกยังคงมองไปที่คนเหล่านี้ว่า พวกเขาไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะทั้งหมดนี้พวกเขาเลือกเอง

คุณวิภาพรรณได้เล่าถึงกรณี ผู้เสียหายชาวต่างชาติรายหนึ่งว่า เมื่อเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วจะมีคนมารอรับ บางครั้งแต่งตัวดี มีป้ายชื่อ มีรถตู้ หรือรถยนต์ส่วนตัว จากนั้นจะพาไปโรงแรมในกรุงเทพฯหรือใกล้เคียง โดยให้อิสระกับผู้เสียหายเมื่อมาถึง เพื่อสร้างความไว้วางใจ เช่น ให้เงินค่าอาหาร ปล่อยให้เที่ยวชมเมืองตามอิสระ และในวันที่สองคนดูแลจะพาผู้เสียหายขึ้นรถตู้หรือรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังสำนักงาน ใช้เวลาเพียง 3-4 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ก็สามารถไปถึงชายแดนภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของประเทศไทยได้แล้ว โดยผู้เสียหายจะถูกเก็บพาสปอร์ตไป โดยอ้างว่าจะนำไปดำเนินการขอวีซ่า โดยที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกพาไปยังประเทศอื่น จากนั้นโทรศัพท์และเอกสารส่วนตัวทั้งหมดจะถูกยึด และเริ่มเข้าสู่ระบบบังคับให้ทำงานผิดกฎหมาย เช่น การบังคับให้ใช้บัญชีเป็นบัญชีม้า หรือเริ่มให้ทำการหลอกลวงผู้อื่นถ้าไม่ต้องการถูกทำร้ายร่างกายหรือทำให้เสียชีวิต

เมื่อผู้เสียหายกลายเป็นจำเลยแต่ผู้บงการยังคงลอยนวล แม้ประเทศไทยจะให้คำมั่นในเวทีระหว่างประเทศว่าให้ความสำคัญกับการต่อต้านการค้ามนุษย์และยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง แต่ในทางปฏิบัติจริง รายละเอียดเชิงโครงสร้างกลับสะท้อน ว่ากลไกที่ที่ทำให้ผู้เสียหายกลายเป็นจำเลยยังคงมี และช่องว่างนี้ยังคงทำให้ขบวนการแสวงหาผลประโยชน์ยังดำเนินไปอย่างไร้คนรับผิดที่แท้จริง และหนึ่งในประเด็นใหญ่ที่คุณจารุวัฒน์ ชี้ให้เห็นคือ การไม่ใช้กระบวนการคัดแยกเหยื่อ (National Referral Mechanism – NRM) ตามกรอบสากล ทำให้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก ตัดสินสถานะของผู้เสียหายจากลักษณะของการเดินทาง ทั้งที่ควรจะยึดจาก “บริบทของการถูกกระทำหรือเข้าข่ายการค้ามนุษย์”

สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการลดการตีตราเหยื่อและเผยแพร่ข้อเท็จจริง ทางด้าน คุณอภิรดี ได้กล่าวถึงหลักการที่สื่อมวลชนสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมและสื่อสารตามหลักการได้ คือ หลักไม่ลงโทษ (Non-punishment Principle) หากเหยื่อถูกบังคับให้กระทำความผิด ไม่ควรถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา แต่ควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการค้ามนุษย เคารพความยินยอม (Informed Consent) ก่อนเผยแพร่ข้อมูลหรือสัมภาษณ์ ต้องได้รับความยินยอมที่แท้จริง รักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy) ห้ามเปิดเผยชื่อจริง ที่อยู่ หรือข้อมูลระบุตัวตน โดยเฉพาะกรณี “เด็ก” แม้พ่อแม่จะอนุญาตก็ตาม และ หลีกเลี่ยงการตีตรา (De-stigmatization) งดการตั้งคำถามซ้ำเติม เช่น “ทำไมถึงโง่”, “โลภหรือเปล่า” และเสนอภาพโครงสร้างปัญหาที่บีบให้คนไร้ทางเลือก และได้เสนอให้ใช้คำว่า “Survivor (ผู้รอดชีวิต)” แทน “Victim (ผู้เสียหาย)” เมื่อรายงานในมุมสิทธิมนุษยชน เพื่อคืนศักดิ์ศรี และสะท้อนว่าผู้รอดชีวิตได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้าย ควรได้รับการฟื้นฟู ไม่ใช่การตีตราว่าเป็นผู้เสียหายหรือผู้ร่วมขบวนการ

การลดอคติและพูดถึงข้อเท็จจริง คุณวิภาพรรณ วงษ์สว่าง กล่าวด้วยความห่วงใยถึงรูปแบบรับสมัครงานปลอมที่มีพัฒนาการตลอดเวลา อุตสาหกรรมนี้เริ่มขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับ ประเทศตามหมู่เกาะในแปซิฟิกและแอฟริกา หากมีการหลอกลวงแรงงานไปยังประเทศใหม่ๆ ด้วยวิธีใหม่ๆ แต่สังคมไทยยังคงไม่ตื่นตัว ภาวะนี้จะสร้างความเสี่ยงต่อแรงงานไทยที่สนใจงานในต่างแดนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเพดานอายุของเหยื่อที่อาชญากรต้องการ เริ่มเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 20-30 ปี

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ง่ายที่สุดที่สื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปจะสามารถทำได้ คือการบอกเล่าเรื่องราวเชิงหลักการ ว่าการสมัครใจเดินทางไปยังพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ไม่เท่ากับ “สมัครใจเป็นอาชญากรรม” และแม้จะถูกใช้บัญชีเป็นทางผ่านของการฟอกเงิน แต่การถูกข่มขู่ กักขัง หรือถูกใช้ความรุนแรงเมื่อถึงปลายทาง ยังคงไม่ลบความจริงที่ว่าข้อเสนองานนั้น อาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ไม่ว่าเหยื่อจะได้รับค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็ตาม

#NabiFellows #นาบิเฟลโลวส์ #คอลเซ็นเตอร์ #สแกมเมอร์ #ค้ามนุษย์ #อาชญากรรมข้ามชาติ #ศูนย์คอลเซ็นเตอร์

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...