‘อนุทิน’ยัน ‘ปอยเปต’พื้นที่เป้าหมายความมั่นคง กองทัพโจมตีเหมือนกัน
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 26 ธ.ค. ที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ออกรายการโหนกระแส ที่มีนายกรรชัย กําเนิดพลอย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ โดยนายกฯ ชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไทยไม่ทำลายปอยเปตทั้งที่มีโอกาส เพราะมีนักการเมืองเป็นเจ้าของกาสิโนที่ปอยเปต หรือแม้แต่มีเรื่องสแกมเมอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ว่า ปอยเปตก็ถูกเราโจมตีเหมือนกัน และอีกหลายที่ด้วย เพราะทางการทหารถือว่าเป็นเป้าหมายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงต่อประเทศเรา อย่าไปมองว่าเป็นอาคาร โรงแรม บ่อนหรือกาสิโน ในนั้นบางที่เป็นเปลือกครอบศูนย์ปฏิบัติการสแกมเมอร์ เอาไว้ควบคุมอาวุธร้ายแรง ไม่ใช่ว่าทางกองทัพอยากจะยิงไปที่ไหนโดยไม่สนใจเป้าหมาย เราไม่เคยยิงมั่ว วันนี้ตนเป็นนายกฯ กล้าพูดว่ารัฐบาลที่มีตนเป็นหัวหน้ารัฐบาล จะไม่มีความเกรงใจ เกรงกลัวใดๆ ต่อการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือสแกมเมอร์แม้แต่น้อย ตนคิดว่าจะได้อยู่ 4 เดือนแต่จริงๆ อยู่ได้ 2 เดือนกว่า ก็ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองทัพ ร่วมกันใช้มาตรการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์เต็มที่ ทั้งยึดอายัดทรัพย์สินประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง ถอนสัญชาติคนที่ไม่พึงประสงค์หลายคน เพราะมีความพัวพันกับสแกมเมอร์ ซึ่งกรณีนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ยังไม่ได้สัญชาติไทย และรัฐบาลยังไม่ได้ให้สัญชาติ ยืนยันว่า เรื่องนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเต็มที่
“ถ้าเรามีความเกรงใจหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลอาชญากรเหล่านี้ เราคงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ วันนี้สิ่งที่ฝ่ายประจำต้องการคือได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ใช่ไปเทเขา แต่ต้องให้ความเชื่อมั่น และช่วยเสริมศักยภาพ จึงออกมาแบบที่เห็นว่าไม่เคยมีการดำเนินการได้มากขนาดนี้มาก่อน ผมไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ แต่มอบนโยบายให้ปราบให้สิ้นซาก มีคำว่าปิดชื่อดูพฤติกรรม เพราะถ้าเห็นชื่อก่อนคนจะวิ่งหนีไม่อยากทำ แต่รัฐบาลผมไม่มีคำว่าการเมือง มีแต่คำว่าผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย เปิดมาแจ๊กพอตคนไหนสำนวนไปถึงก็ดำเนินคดีอย่างเต็มที่ ไม่เคยมีโทรศัพท์จากใครในแวดวงของผมที่จะโทรศัพท์มาบอกเบาๆ หน่อย ช้าๆ หน่อย ไม่มีโทรศัพท์มาขอ เพราะเขาทราบดีว่าเรื่องขอแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น และผมไม่เคยรู้สึกหนักใจ ไม่เคยกลุ้มใจนอนไม่หลับว่าขอมาแล้วไม่ทำให้ เพราะผมวางตัวว่าคนที่จะมาขอผมเรื่องแบบนี้ อย่าดีกว่าเพราะเป็นไปไม่ได้ รัฐบาลนี้ไม่มีคำว่าการเมือง มีแต่คำว่าผิดกฎหมาย และถูกกฎหมาย” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่ามีภาพถ่ายร่วมเฟรมกับนายเบน สมิธ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าคนที่ถูกดำเนินคดีมีภาพถ่ายร่วมกันไม่ได้ตนว่ามีอีกเยอะ คงไม่สามารถไปเปรียบตรงนั้นได้ คนที่ถูกดำเนินคดีเราจะไปสาดโคลนใส่เขาอย่างที่บางคนชอบทำไม่ได้ ตนยึดถือกระบวนการยุติธรรมไปถึงคนไหนก็คนนั้น จะบอกว่าห้ามรู้จักเลยก็ไม่ได้ อย่างรูปที่ถูกเอามาลงก็เกิดขึ้นหลังจากที่ตนแถลงยึดทรัพย์ ส่วนเรื่องจะได้หรือไม่ได้สัญชาติอยู่ที่พฤติกรรม ซึ่งกรณีนายเบน สมิธ ที่ตนไม่เซ็นให้สัญชาติ เพราะนายเบน สมิธ มีหลายสัญชาติ ซึ่งกฎหมายไทยจะต้องเหลือสัญชาติเดียว ส่วนเรื่องคดีความขึ้นอยู่กับกระบวนการ ย้ำว่า เราต้องยึดกฎหมาย ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ากฎหมายถูกต้องก็ผ่าน แต่ถ้ากฎหมายบอกว่าทำไม่ได้ก็ต้องขยายผล และดำเนินการต่อไปจนถึงจุดสิ้นสุดคดี
เมื่อถามต่อว่ามีการพูดกันว่ามีทุนของนักการเมืองไทยลงทุนในปอยเปต นายกฯ กล่าวว่า ได้ยินแต่ข่าวเหมือนกัน แต่สมมุติถ้าเขาไปลงทุนในประเทศนั้นแล้วไม่ได้ผิดกฎหมาย เราก็ทำอะไรไม่ได้ ได้ยินมาแล้วใครยอมรับ นักการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่ในบัญชีทรัพย์สินก็ไม่มีตรงนี้ แต่ถ้าผิดกฎหมายมาเปิดเป็นฐานในประเทศไทยแบบนี้โดน เราใช้เส้นทางโทรศัพท์ เส้นทางการเงิน มีหลักฐานปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมือง ญาตินักการเมืองก็โดนทุกคนไม่มีเว้นใครแม้แต่คนเดียว ตนง่ายมาก เพราะไม่ดูชื่อเลย แต่ดูสำนวน เปิดชื่อมาเจอใครก็คนนั้นดำเนินการต่อได้เลย สมมุติเป็นรัฐมนตรีในคณะของตนอยู่ถ้าเจอจะยิ่งซ้ำ เพราะถือว่าหลอกลวงประชาชน ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องมีความกังวลเรื่องนี้เลย แต่จะไปใช้ให้คนมาชี้นิ้วอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกระบวนการยุติธรรมมาประกอบด้วย.