เซเลนสกีเผยร่างสันติภาพใหม่ แช่แข็งแนวรบ-เปิดช่องเจรจาผ่อนปรน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ว่าประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยเนื้อหาของร่างแผนสันติภาพ 20 ข้อ ซึ่งปรับปรุงร่วมกับสหรัฐและยุโรป เพื่อยุติสงครามกับรัสเซีย
ทั้งนี้ เซเลนสกียืนยันว่า ยูเครนได้รับข้อเสนอที่ผ่อนปรนมากขึ้นในบางประเด็น รวมถึงการตัดเงื่อนไขที่บีบให้ยูเครนต้องถอนทัพออกจากแคว้นโดเนตสก์ ในภูมิภาคดอนบาสที่อยู่ทางตะวันออกในทันที รวมถึงข้อเรียกร้องให้รับรองดินแดนที่รัสเซียยึดครองว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐบาลมอสโก และเงื่อนไขที่ระบุให้ยูเครนต้องสละสิทธิ์ในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) อย่างเป็นทางการออกไปได้ด้วย
กระนั้น โอกาสที่ยูเครนจะได้เข้าเป็นสมาชิกยังคงดูเลือนราง เนื่องจากรัฐบาลวอชิงตันยังคงไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี แนวทางใหม่ของแผนสันติภาพยังคงปูทางให้ยูเครนสามารถถอนกำลังทหารบางส่วนออกไปได้ รวมถึงจากพื้นที่ในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งยูเครนยังคงครอบครองอยู่ราว 20% เพื่อจัดตั้งเป็น "เขตปลอดทหาร" แทน
ขณะเดียวกัน ผู้นำยูเครนกล่าวว่า "ในแคว้นโดเนตสก์ ลูฮันสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน เส้นพิกัดการวางกำลังพล ณ วันที่มีการลงนามข้อตกลง จะถือเป็นเส้นแนวปะทะ หรือ เส้นสมรภูมิ โดยพฤตินัย" พร้อมเสริมว่าจะมีคณะทำงานกำหนดรายละเอียดการวางกำลังใหม่ และการจัดตั้ง "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" ต่อไป ซึ่งประเด็นนี้เป็นไปตามความต้องการของสหรัฐ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เซเลนสกีย้ำว่า ว่าแผนการใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการถอนทัพหรือการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องผ่านการลงประชามติจากชาวยูเครนก่อน
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการยึดครองของรัสเซีย ร่างแผนสันติภาพของสหรัฐเสนอให้เป็นการบริหารร่วมกันระหว่างสหรัฐ-ยูเครน-รัสเซีย แต่เซเลนสกีคัดค้านการให้รัสเซียเข้ามามีส่วนร่วม กับการกำกับดูแลโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนเน้นย้ำว่า การจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพแล้วเท่านั้น
ขณะที่ฝ่ายรัสเซียยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการต่อร่างแผนการฉบับล่าสุด อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลมอสโกมักวิจารณ์และเตือนเกี่ยวกับ "การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่มากเกินไป" จะส่งผลกระทบต่อการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย.
เครดิตภาพ : AFP