โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

“กิติพงศ์” ประธานบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ ชู 4 ภารกิจฟื้นศรัทธาตลาดทุนไทย

การเงินธนาคาร

อัพเดต 19 พ.ค. 2567 เวลา 12.39 น. • เผยแพร่ 18 พ.ค. 2567 เวลา 15.18 น.

“กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” เผย 4 ภารกิจหลักในตำแหน่งประธานบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งประสานความร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและคุ้มครองนักลงทุนให้มีความเท่าเทียมกัน การสร้างความโปร่งใสในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การสร้างคัมภีร์การลงทุน พร้อมผลักดันตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค

ภายหลังจากที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติเลือกศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 19 ซึ่งในยามที่เกิดวิกฤติศรัทธากับตลาดทุนไทยเช่นนี้ การบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดจะต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและเด็ดขาด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและฟื้นความศรัทธาของตลาดทุนไทยกลับคืนมา

ด้วยประสบการณ์ในการเป็นนักกฎหมายมากฝีมือมาอย่างยาวนานของนายกิติพงศ์ จึงถือเป็นการเข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ “ถูกที่ ถูกเวลา” เป็นอย่างมาก

การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์พิเศษ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงภารกิจสำคัญในวาระที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 15 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

“ผมมีความตั้งใจจะทำหน้าที่ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างดีที่สุดในการที่จะผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค และประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน ในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ไม่ว่าในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองนักลงทุนให้มีความเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการสร้างความโปร่งใสในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียน”

นอกเหนือจากการสร้างความเชื่อมั่นแล้ว นายกิติพงศ์กล่าวว่า ยังมีอีกหลายภารกิจที่เราต้องร่วมกันทำและร่วมกันพัฒนาเช่น เรื่อง ESG, ESG Fund และนำ Carbon Credit มาใช้ให้เห็นผล

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนทุกเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดจะสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือ ข้อคิดเห็น และการสนับสนุนจากท่านกรรมการทุกท่าน ผู้บริหารทุกภาคส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หน่วยงานและองค์กรภายนอกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

นายกิติพงศ์กล่าวว่า ภารกิจสำคัญในการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มี 4 เรื่องดังนี้

1.สร้างความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย โดยการจัดการกับกลุ่มทุจริตทั้งการสร้างราคา (ปั่นหุ้น) และการตกแต่งบัญชี อย่างเอาจริงเอาจังให้เป็นกรณีตัวอย่าง ปัจจุบันพบว่าความผิดด้านตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปั่นหุ้นที่มีมากขึ้น ความผิดเริ่มซับซ้อนขึ้น และทำกันเป็นขบวนการ ไม่ใช่ทำกันแค่ 2-3 คน โดยมีการร่วมมือกันจากหลายกลุ่มคน ทำให้การตรวจสอบยากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน เข้ามาช่วยกันแก้ไขและเพิ่มมาตรการป้องกันให้เข้มข้นขึ้น

นายกิติพงศ์กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องสร้างองค์ความรู้ทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้คดีมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยการทำผิดกฎหมาย เช่น การฉ้อโกง การปั่นหุ้น ต้องทำการยึดทรัพย์ไว้ก่อน แล้วเร่งกระบวนการพิสูจน์คดีเพื่อเอาผิดผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางเรื่องสามารถดำเนินการได้เลย บางเรื่องก็ต้องมีการแก้ไขข้อกฎหมายเพื่อให้กระบวนการเหล่านี้สัมฤทธิ์ผลในระยะเวลารวดเร็ว

ยกตัวอย่างคดีของ บมจ.มอร์ รีเทิร์น ( MORE) ที่มีมูลค่าความเสียหาย 4,000 ล้านบาท มีการบังคับใช้กฎหมายที่รวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1 ปี 6 เดือน เมื่อเทียบกับในอดีตที่มีการบังคับใช้กฎหมายเฉลี่ย 3 – 4 ปี โดยคดี MORE ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนเป็นอย่างมาก และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน นอกจากนี้มีคดีฉ้อโกงที่เป็นเคสใหญ่คือ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ที่พบการแก้ไขงบการเงิน

“การที่บริษัทขนาดเล็กเข้าตลาดหุ้นแล้วสร้างราคาเพื่อทำกำไร แล้วทิ้งหุ้นนั้น พบว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีการสร้างราคาหุ้นเป็นจำนวนมาก อาจเป็นเพราะบริษัทมีขนาดเล็ก มีจำนวนหุ้นน้อย มีการสร้างข่าว มีคนเชื่อข่าวลือ หรือการตั้งราคา IPO สูงเกินปัจจัยพื้นฐาน ต่อจากนี้ไปตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดเผยข้อมูลหุ้น IPO 10-20 บริษัท ว่าใครเป็นที่ปรึกษาทางการเงินบ้าง เมื่อเข้าตลาดฯ แล้วราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือการเปิดเผยข้อมูลการจัดสรรหุ้นให้กับบุคลที่เกี่ยวโยงกัน โดยจะใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และกำหนดเงื่อนไข เช่น หุ้นต่ำบาท (Stock Penny)”

2.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ในมุมมองของนายกิติพงศ์เห็นว่าตลาดทุนควรจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น เช่น กองทุนรวมลดหย่อนภาษีที่นำไปลดหย่อนภาษีได้มากกว่า 5 แสนบาท ยกตัวอย่างจากการศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น พบว่าผู้ลงทุนสามารถลดหย่อนภาษีได้มากถึง 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ควรมีกองทุน New Investment เพื่อขยายฐานนักลงทุนกลุ่มใหม่ เช่น กองทุนรวมสำหรับเยาวชนที่ผู้ปกครองสามารถซื้อให้ลูกแล้วขายได้เมื่ออายุ 18 ปี เป็นต้น และอีกตัวอย่าง คือ กองทุนรวมสำหรับผู้สูงวัย ที่สามารถสะสมเงินเข้ากองทุน ถือเป็นการสร้างเงินออมเพื่อใช้หลังเกษียณ เช่น หลังจากเกษียณแล้ว สามารถทยอยเบิกเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ทุกเดือน เป็นต้น รวมทั้งการหาบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เพื่อผลักดันตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค

“เราสามารถใช้กลไกดังกล่าวเพื่อทำให้ตลาดทุนมีนักลงทุนเข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้งเรื่องของภาษี หากมีกองทุนให้เยาวชน ก็สามารถเป็นกองทุนที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องสร้าง New Investment Standard ให้เข้าถึงได้มากขึ้น”

3.สร้างความเป็นธรรมในตลาดทุนและพัฒนาสร้างโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้กลไกของข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ ( AI) สำรวจงบดุลของบริษัทจดทะเบียนที่มีความน่าสงสัย เช่น ธุรกิจส่งออก ในขณะที่บริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันประสบภาวะขาดทุน แต่หากมีบริษัทไหนที่มีกำไรขึ้นมาแล้วตรวจสอบพบความน่าสงสัย ระบบจะแจ้งเตือนแก่นักลงทุนถึงความผิดปกติ เป็นเหมือนกับสัญญาณเตือนอันตราย (Red flag) ว่าบริษัทนั้นมีความผิดปกติอย่างไรเพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนตัดสินใจ และทำการเรียกผู้ตรวจสอบบัญชีมาสอบถาม โดยอำนาจนี้จะอยู่ที่สำนักงาน ก.ล.ต. ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีข้อมูลเบื้องต้น

ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการแก้ไขกฏหมายให้ สำนักงาน ก.ล.ต.สามารถส่งฟ้องคดีได้เอง หรือมีการยืมตัวอัยการมาชั่วคราวเพื่อร่วมทำคดี เช่นเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่นทำอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังต้องหาแนวทางทำให้บริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) ขนาดเล็กมีเครื่องมือหรือสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ที่เท่าเทียมกับโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ นายกิติพงศ์บอกว่าเป็นแนวคิดส่วนตัวที่จะนำเสนอบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป

สำหรับเรื่องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในการซื้อขายหุ้น เช่น การทำเน็กเก็ตชอร์ต (Naked Short) หรือ การขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นในมือ การส่งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ (Program Trading) ตลอดจนนักลงทุนกลุ่ม High-frequency trading (HFT) หรือผู้เน้นเทรดความเร็วสูง ก็ต้องให้ความสำคัญและมีมาตรการในการดูแลทั้งการป้องกันและปราบปราม ซึ่งเรื่องนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทะยอยออกมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง

“หุ้นไทยตกต่ำมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้น คือ คุณภาพของสินค้าในตลาดทุนเอง และความเชื่อมันในมาตรการกำกับดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อโกง การสร้างราคาหุ้น การตกแต่งบัญชี สิ่งที่เกิดจากการฉ้อโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนนั้นยังมีอยู่ ซึ่งยอมรับว่ามีบริษัททั้งที่เป็นบริษัทดีและไม่ดี ที่สำคัญในฐานะที่ผมเป็นนักกฏหมายก็ต้องมีการบังคับใช้กฏหมายด้วยความรวดเร็ว ชัดเจน และมีการลงโทษอย่างเด็ดขาด”

4.สร้างคัมภีร์การลงทุน โดยในอนาคตต้องการสร้างหนังสือหรือตำราเกี่ยวกับตลาดทุนเข้าไปในหลักสูตรของระบบการศึกษา ตั้งแต่ระดับนักเรียนในโรงเรียนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุน และเพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น

นายกิติพงศ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “การเข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คงไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากตนได้เข้ามาทำหน้าที่กรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้เป็นรอบที่ 4 แล้ว จึงเข้าใจระบบตลาดทุนและคุ้นเคยกับบุคคลต่างๆ ในตลาดทุนเป็นอย่างดี”

อ่านข่าวอื่น ๆ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...