โป๊ปเลโอทรงขอให้ช่วยคนจน ขณะที่เบธเลเฮมฉลองคริสต์มาสแรกใน 2 ปี
สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ประทานพรเนื่องในวันคริสต์มาสอีฟเมื่อค่ำวันพุธที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา นับเป็นคริสต์มาสแรกของพระองค์ในฐานะพระประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
บริเวณด้านนอกจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ประชาชนประมาณ 5,000 คน ต่างกางร่มและสวมเสื้อกันฝนเพื่อเฝ้าชมการถ่ายทอดสดพิธีผ่านจอภาพขนาดใหญ่ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
ก่อนเริ่มพิธี สมเด็จพระสันตาปาปาเลโอ (พระชนมพรรษา 70 พรรษา) ได้เสด็จออกมาทักทายคริสต์ศาสนิกชนที่ลานกว้าง พร้อมตรัสชื่นชมในศรัทธาว่า "ข้าพเจ้าขอชื่นชม ให้เกียรติ และขอบใจในความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของพวกท่านที่มารวมตัวกันในเย็นวันนี้ แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจก็ตาม”
สมเด็จพระสันตาปาปาทรงหยิบยกเรื่องราวประสูติของพระเยซูในคอกสัตว์เนื่องจากไม่มีที่ว่างในโรงแรมมาเป็นบทเรียน โดยทรงเน้นย้ำว่า เหตุการณ์ดังกล่าวควรเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจคริสต์ศาสนิกชนในปัจจุบันว่า "การปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนยากจนและคนแปลกหน้า มีค่าเท่ากับการปฏิเสธพระเจ้า"
พระองค์ทรงกล่าวในช่วงหนึ่งของพิธีว่า "บนโลกนี้จะไม่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้าเลย หากไม่มีที่ว่างสำหรับเพื่อนมนุษย์ การปฏิเสธคนกลุ่มหนึ่ง ก็คือการปฏิเสธอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน"
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก สมเด็จพระสันตาปาปาเลโอทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลกลุ่มผู้อพยพและผู้ยากไร้ โดยทรงชี้ให้เห็นว่าการประสูติของพระเยซูคือสัญลักษณ์ที่แสดงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
สำหรับกำหนดการในวันพฤหัสบดีนี้ หรือตรงกับวันคริสต์มาส สมเด็จพระสันตาปาปาจะทรงเป็นประธานในพิธีมิสซาวันคริสต์มาส พร้อมทั้งประทานโอวาทและอำนวยพร "Urbi et Orbi" ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำคัญที่จะเกิดขึ้นเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น
เบธเลเฮมฉลองคริสต์มาสแรกอย่างเป็นทางการในรอบสองปี
ประชาชนนับพันคนมารวมตัวกัน ณ จัตุรัสเมนเจอร์ (Manger Square) ในเมืองเบธเลเฮม ซึ่งเป็นเมืองพระเยซูประสูติเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน เพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาสอีฟครั้งแรกในรอบสองปี โดยมีพระคาร์ดินัล ปีเอร์บัตติสตา ปิซซาบัลลา เป็นประธานเปิดงานอย่างเป็นทางการ
พระคาร์ดินัลปิซซาบัลลา ซึ่งเดินทางข้ามกำแพงกั้นเขตแดนจากกรุงเยรูซาเลมเข้าสู่เวสต์แบงก์ ได้กล่าวถ้อยคำแห่งความหวังต่อฝูงชนว่า แม้จะมีความเสียหายแผ่ขยายไปทั่ว แต่ท่านได้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของผู้คนที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่และฟื้นฟูบ้านเมืองขึ้นใหม่
"พวกเราทุกคนตัดสินใจร่วมกันที่จะเป็นแสงสว่าง และแสงแห่งเบธเลเฮมก็คือแสงสว่างของโลก ….. หลังจากที่ต้องจมอยู่กับความมืดมนมานานถึง 2 ปี ถึงเวลาแล้วที่เราต้องการแสงสว่าง"
แม้จะมีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกอิสราเอลยึดครองยังคงรุนแรง เนื่องจากตามปกติแล้ว เมืองแห่งนี้พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่กลับไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเฉลิมฉลองคริสต์มาสในปีนี้ เพราะมีคนต่างชาติเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถเดินทางเข้ามาได้ เนื่องจากสงคราม