ฟังจาก “ปลัดดีอี-อดีตปลัดดีอี” กรณี “MOU”ที่เป็นปัญหา!!
จากกรณีที่ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งให้มีการตรวจสอบและติดตามผล เกี่ยวกับการทำ MOU ระหว่างกระทรวงดีอี และ Prime Opportunity Fund VCC Singapore เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 อย่างละเอียดอีกครั้งและให้รายงานกลับมาโดยเร็วที่สุด หลังมีภาพการลงนาม MOU ปรากฏบนสื่อนั้น
ล่าสุด วันนี้ (10 ธ.ค.) นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวให้สัมภาษณ์กับ “เดลินิวส์” ว่า ท่าน รมว.ดีอี ได้สั่งการด้วยตนเอง ถึงหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทุกแห่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีใคร หน่วยงานไหนไปทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หลังมีภาพการลงนาม MOU เผยแพร่บนสื่อ ซึ่งในการตรวจสอบครั้งแรกหลังจากงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 พ.ย.68 ที่ผ่านมา ได้มีหนังสือแจ้งเวียนทุกหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดให้ตรวจสอบมีการทำอะไรภายใต้เอ็มโอยูบ้าง ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้ตอบกลับมาแล้ว เช่น บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ เอ็นที ได้ลงนาม MOU ด้วยกัน แต่ไม่มีการทำโครงการอะไรที่เป็นทางการ ขณะที่ ทาง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (เอ็ตด้า) และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ พีดีพีซี รายงานว่าได้แค่มีการประสานงาน ทำหนังสือถามมาและตอบกลับเท่านั้น ซึ่งโครงการต่างๆ เช่น โครงการสแกนม่านตาดังกล่าว ไม่เข้าข่าย และเกินอำนาจของเอ็ตด้า และ พีดีพีซี จึงไม่ได้มีการอนุญาต หรือดำเนินโครงการอะไรร่วมกันต่อ
“กระทรวงได้พยายามค้นหาเอกสารหลักฐานต่างๆ ก็พบว่ามีกระบวนการติดต่อไปมาบ้างในลักษณะการตอบเอกสารธรรมดา แต่เมื่อมีภาพ MOU ปรากฏทางสื่อ ทางท่านไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี ต้องการให้ตรวจสอบให้แน่ใจและมั่นใจว่า ไม่มีหน่วยงานของกระทรวงดีอี ไปแอบอ้างดำเนินการอะไรต่อ โดยให้รายงานกลับมาในวันพรุ่งนี้ (11 ธ.ค.) เพราะท่าน รมว.ดีอี มีนัดชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งเข้าใจว่าทางท่าน รมว.ดีอี จะไปชี้แจงด้วยตนเอง ยังไม่ได้มอบหมายใคร”
นายพชร กล่าวต่อว่า ณ ปัจจุบันนี้ ทางท่าน รมว.ดีอี ได้สั่งยกเลิกเอ็มโอยูไปแล้ว และทางกระทรวงดีอีได้แจ้งทุกหน่วยงานในสังกัดหมดแล้ว ซึ่งในส่วนที่ได้ทำอะไรไปแล้วให้รายงานกลับมา และไม่ให้ดำเนินการอะไรต่อ ให้ยกเลิกทั้งหมด แต่ปัจจุบันเท่าที่ตรวจสอบจากเอกสาร ยังไม่มีข้อผูกพันที่เป็นพันธกรณี อย่างไรก็ตาม ในการสอบสวนเรื่องนี้ทางท่าน รมว.ดีอี ก็อยากแสดงความโปร่งใสของกระทรวงฯ ในการตรวจสอบให้สาธารณะ ซึ่งทาง รมว.ดีอี มีความตั้งใจในเบื้องต้น อยากตั้งคณะกรรมการที่เป็นคนนอกทั้งหมดเข้ามาร่วมตรวจสอบรายละเอียด เพราะหากทางกระทรวงดีอีตรวจสอบกันเอง สังคมอาจจะไม่เชื่อมั่นได้ ซึ่งการตั้งคณะกรรมการคงต้องขึ้นอยู่กับ รมว.ดีอี จะสั่งดำเนินการเมื่อใด
ด้าน นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อดีตปลัดกระทรวงดีอี กล่าวกับ “เดลินิวส์” ว่า เรื่องการลงนาม MOU ดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ให้สัมภาษณ์กับรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ทางช่อง 9 MCOT โดยยืนยันว่า ในช่วงดำรงตำแหน่ง มีการลงนาม MOU หลายฉบับ ซึ่ง MOU ดังกล่าว ก็ดำเนินการตามขั้นตอน ตรวจสอบผ่าน กองต่างประเทศ และ กองกฎหมาย ของกระทรวงดีอี และมีการทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด และ สํานักงานกฤษฎีกา ซึ่งก็เป็นไปตามขั้นตอนขอความเห็นที่เป็นเรื่องปกติ ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการดำเนินการที่เร็ว คงไม่สามารถก้าวล่วงหรือให้ความเห็นได้ เป็นกระบวนการทำงานของหน่วยงานนั้นๆ แต่ยืนยันการดำเนินงานก็ทำตามหน้าที่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงดีอีในขณะนั้น ไม่ได้ทำในนามส่วนตัว
“เอกชนติดต่อมา ก็ดำเนินการตามขั้นตอน แต่ใน MOU ก็ระบุว่า ไม่ว่าจะดำเนินการเรื่องอะไร เกี่ยวกับหน่วยงานใด ก็ต้องไปติดต่อขออนุญาตกับหน่วยงานนั้นๆ แต่หากเป็นโครงการที่ไม่มีกฎหมายไทยรองรับ ก็จะทำไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทยซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่ระบุใน MOU”
นายวิศิษฏ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการนำผู้เชี่ยวชาญ 500 คนเข้ามานั้น ถ้าจะต้องเข้ามาทำงาน ก็ต้องขอวีซ่า และขอใบอนุญาตทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามปกติ ใน MOU ไม่ได้มีข้ออนุมัติ หรือให้ยกเว้นอะไร ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้ว่าจะมีคนเข้ามาเท่าไร ซึ่งเรื่อง แรงงานด้านดิจิทัล มีการพูดคุยกันมานานแล้ว หากนำคนเข้ามาเทรนหรืออบรม ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
“ซึ่งในกรณีนี้ที่เป็นประเด็นข่าวขึ้นมานั้น ตนไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ไม่สามาถจะตอบได้ เพราะตนได้เกษียณอายุราชการมาแล้ว แต่หากมีอะไรกระทบก็มีหน้าที่ชี้แจงให้ประชาชนและสังคมทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ยืนยันว่าการลงนามในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และมีกระบวนการในการตรวจสอบและตัดสินใจ เป็นไปตามขั้นตอนที่มีอยู่” นายวิศิษฏ์ กล่าวยืนยัน