เหตุ!! กัมพูชา สู้กับทหารไทยในห้วงเวลานี้
อ.ประพฤติ ชี้ เหตุใด กัมพูชาจึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงหรือเผชิญหน้าทางทหารกับไทยในห้วงเวลานี้ ทั้งที่ทราบดีว่ามีศักยภาพทางทหารที่ด้อยกว่า?
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า อ.ประพฤติ ฉัตรประภาชัย (อ.อุ๋ย) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ วิเคราะห์ เหตุใด กัมพูชาจึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงหรือเผชิญหน้าทางทหารกับไทยในห้วงเวลานี้ ทั้งที่ทราบดีว่ามีศักยภาพทางทหารที่ด้อยกว่า?
5 เหตุผลวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ที่กัมพูชาเลือกเผชิญหน้ากับไทย
1. การกดดันเพื่อบังคับใช้และตีความ "MOU 2543" (MOU 2000)
ผมมองว่า การที่รัฐบาลไทยยังคงไว้ซึ่ง MOU ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2000) ซึ่งได้ตกลงให้ใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นเอกสารอ้างอิงในการปักปันเขตแดนทางบก ทําให้กัมพูชามองว่าแผนที่นี้มีส่วนทำให้กัมพูชาได้เปรียบในพื้นที่พิพาทหลายแห่ง ตลอดแนวชายแดน เช่น บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา ฯลฯ
• แรงจูงใจ: ผมคิดว่ากัมพูชาใช้ความตึงเครียดทางทหารเพื่อ เร่งรัดและบังคับให้ไทยยอมรับและดำเนินการตามแผนที่ดังกล่าว โดยเฉพาะการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่พิพาททางบก ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายอาณาเขตและยุติข้อพิพาทเพื่อให้เป็นประโยชน์กับ กพช เอง
2. การใช้ประเด็น "พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล" จาก "MOU 2544" (MOU 2001) เพื่อผลประโยชน์มหาศาล
• ประเด็น: ผมเห็นว่า MOU ว่าด้วยพื้นที่พัฒนาร่วมปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเล พ.ศ. 2544 (MOU 2001) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ที่มีมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติ (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) หลายล้านล้านบาท ซึ่งการที่ mou 44 ไปรับรองเส้นเขตแดนทางทะเลที่ กพช ขีดผ่านเกาะกูดโดยมิชอบนี้เอง ที่ทําให้เกิดพื้นที่พิพาท นี้เองทําให้เกิด"เส้นเขตแดน" ที่กัมพูชาใช้แนวเส้นนี่รุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำไทย
ซึ่งทําให้ กพช เกิดแรงจูงใจที่จะสร้างความขัดแย้งทางทหารเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อ กดดันให้ไทยยอมรับการบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาร่วมภายใต้เงื่อนไขที่กัมพูชาได้เปรียบสูงสุด เพื่อเข้าถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรทะเลก่อนที่ข้อพิพาทจะถูกยุติโดยสมบูรณ์
3. การใช้ยุทธศาสตร์ "การทูตด้วยปืน" (Coercive Diplomacy) เพื่อเร่งรัดการเจรจา
• การปะทะทางทหารในระดับจำกัดหรือการใช้ความตึงเครียดตามแนวชายแดน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง "ต้นทุนความขัดแย้ง" ให้แก่ไทยและประชาคมโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากโต๊ะเจรจาปกติให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอก และบังคับให้ไทยต้องยอมรับเงื่อนไขในการตีความและการดำเนินการตาม MOU ทั้งสองฉบับ
4. การใช้ประเด็นความขัดแย้งเพื่อรวมชาติและเสริมอำนาจรัฐบาล
• รัฐบาลกัมพูชาสามารถใช้ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (MOU 43 และ 44) เพื่อ ปลุกกระแสชาตินิยมอย่างรุนแรง ซึ่งช่วย เสริมสร้างความชอบธรรม และ อำนาจให้กับผู้นำรัฐบาล รวมถึงเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ ซึ่งการอ้างว่าถูกไทยรุกรานในเรื่องเขตแดนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความเป็นเอกภาพ
5. การทดสอบจุดยืนและความอ่อนแอของรัฐบาลไทยเพื่อหาช่องทางเชิงรุก
• กัมพูชาอาจมองว่าช่วงเวลาปัจจุบัน รัฐบาลไทยมีความเปราะบางทางการเมือง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการ "ลองกำลัง" และ "ทดสอบปฏิกิริยา" ของฝ่ายไทย หากพบว่าไทยไม่ต้องการยกระดับความขัดแย้ง อาจนำไปสู่การขยับขยายขอบเขตการอ้างสิทธิ์และการตีความ MOU ต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากยิ่งขึ้น
สรุป:
การตัดสินใจทำสงครามของกัมพูชาจึงเป็นไปตามหลักการ Realpolitik ซึ่งหมายถึง “การเมืองแบบนักปฏิบัติ" ที่มองโลกตามความเป็นจริงอันโหดร้าย และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่แคร์เรื่องศีลธรรมหรืออุดมคติมากนัก
โดย กพช ประสงค์จะใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือเพื่อ สร้างอำนาจต่อรอง ในการบังคับใช้และตีความข้อตกลงสำคัญ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการได้มาซึ่ง อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล จากพื้นที่ทับซ้อนทางบกและทางทะเล นั่นเอง ด้วยความปราถนาดี
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS