รู้จัก ภาษีบำรุงถนน จุดเริ่มขายบริการถูกกฎหมายครั้งแรกในไทย กับฉากในละคร คุณพี่เจ้าขาฯ
รู้จัก ภาษีบำรุงถนน จุดเริ่มขายบริการถูกกฎหมายครั้งแรกในไทย กับฉากในละคร คุณพี่เจ้าขาฯ ที่เสิร์ฟทั้งความฮาและความรู้ที่สอดแทรกไปในเนื้อเรื่องของละคร
ปังตั้งแต่อีพีแรก สำหรับละคร คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ ที่มีนางเอกดัง โบว์ เมลดา ที่รับบทเป็น บุญตา ตัวเอกของเรื่องที่ย้อนอดีตมาเป็นนางคณิกา ชีเสิร์ฟทั้งความฮา น่ารัก น่าเอ็นดู จนกลายเป็นมีมไวรัล
เรื่องนี้ โบว์ เมลดา ได้ประกบคู่กับพระเอก ภณ ณวัสน์ ที่เรียกได้ว่าเสิร์ฟทั้งความฮาและความรู้ที่สอดแทรกไปในเนื้อเรื่องของละคร
ฉากหนึ่งของเรื่อง คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ เปิดเผยภาพย่านโสเภณี ที่มีการแขวนโคมเขียวเอาไว้
สำหรับการแขวน โคมเขียว ของสำนักโสเภณี เกิดขึ้นเมื่อมีประกาศพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127 เมื่อ พ.ศ. 2452 สำนักโสเภณีทุกแห่งต้องแขวนโคมเขียวเพื่อแสดงว่าจดทะเบียนและเสียภาษีเรียบร้อยแล้ว ส่วนโสเภณีที่ไม่ได้เสียภาษีก็ต้องแอบยืนขายบริการตามพื้นที่บันเทิงในเมือง เช่น โรงบ่อนและโรงหวย
ประเด็นนี้ ศิลปวัฒนธรรม ได้รวบรวมข้อมูลดีๆ พร้อมเกร็ดความรู้ไว้มากมาย เกี่ยวกับจุดเริ่มขายบริการทางเพศถูกกฎหมาย ครั้งแรกในไทย ก่อนเข้ายุค ปรามค้าประเวณี
เมื่อพูดถึงอาชีพในสังคมมนุษย์ เคยมีคำกล่าวที่บ่งชี้ว่า “อาชีพเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์” คือการขายบริการ(ทางเพศ) วัฒนธรรมทางเพศเป็นเรื่องที่ปรากฏขึ้นแทบทุกสังคมทั่วโลก ในไทยเองก็มีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงร่องรอยของกิจกรรมเหล่านี้ดังเช่นคำศัพท์ “หญิงนครโสเภณี” หรือหญิงงามเมือง ไปจนถึงหลักฐานทางการซึ่งปรากฏในกฎหมายบ้านเมืองอย่างพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ. 2451) ในสมัยรัชกาลที่ 5
เมื่อลองสืบค้นเกี่ยวกับการขายบริการทางเพศในสังคมไทยแบบคร่าวๆ พบหลักฐานที่บ่งชี้ร่องรอยได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในกฎหมายอย่างเป็นทางการ อาทิ การขึ้นทะเบียนโสเภณีตามกฎหมาย ไปจนถึงบันทึกจดหมายต่างๆ
หากเอ่ยถึงหลักฐานในทางกฎหมายว่าด้วย “การขึ้นทะเบียน” โสเภณีครั้งแรกของไทย วิทยานิพนธ์เรื่อง “โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503” ระดับปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ เนื้อหาในงานศึกษาทางวิชาการชิ้นนี้อธิบายว่า ปรากฏในรูปของระบบเจ้าภาษีนายอากรที่ให้มีการผูกขาด “ภาษีบำรุงถนน” อันเป็นภาษีโสเภณีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เบื้องต้น ดารารัตน์ สันนิษฐานว่ารูปแบบดังกล่าวปรากฏขึ้นในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 หลักฐานที่ยกมาประกอบข้อสันนิษฐานคือ การบอกเล่าของบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ ที่ระบุว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปรากฏการเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหญิงโสเภณีได้ 5,000 บาทแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ภายหลังจึงปรากฏเป็นพ.ร.บ. ป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ.2451) อันมีเนื้อหาอนุญาตให้ค้าประเวณีได้แต่สำนักโสเภณีและโสเภณีต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
“ภาษีบำรุงถนน”
นับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา มีการเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหญิงโสเภณีเป็นภาษีที่เรียกกว่า “ภาษีบำรุงถนน”
เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้เกิด “ภาษีบำรุงถนน” นั้น มาจากกรณีหญิงโสเภณีที่เป็นทาส มักกล่าวโทษนายเงินที่ไถ่เอาหญิงมาเป็นทาสว่าฉ้อฉลเงิน และนายเงินบางรายก็โกงเงินภาษีของรัฐ ดังนั้นภาษีบำรุงถนนจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
สำหรับการตั้ง“ภาษีบำรุงถนน” นี้ ดารารัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปเพื่อนำเงินที่เก็บได้มาซ่อมแซมบำรุงถนน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มขยายตัวจากการติดต่อการค้ากับต่างประเทศ จำเป็นต้องขยายเมืองให้กว้างขวาง แน่นอนว่าเรื่องขุดคลองสร้างถนนเหล่านี้ใช้เงินทุน ขณะเดียวกันยังปรากฏหลักฐานส่วนหนึ่งว่า พวกกงสุลเข้าชื่อกันถวายหนังสือว่า ชาวยุโรปที่ขี่รถม้าเที่ยวตากอากาศมีสุขภาพแข็งแรง แต่พอมาในกรุงเทพฯ ไม่มีถนนหนทางให้ขี่รถเที่ยวจึงป่วยไข้อยู่เป็นประจำ ดังนั้นถึงได้ปรากฏถนนอย่างเจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร ให้ชาวต่างชาติขี่รถม้าเที่ยวกัน
เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกัน ขณะที่รัชสมัยของพระองค์ประสบปัญหาการคลัง นโยบายไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในสมัยนั้น จึงต้องปรับปรุงระบบภาษีอากร
ดังนั้น จึงปรากฏหอรัษฎากรพิพัฒน์ในพ.ศ. 2417 ต่อมาในพ.ศ. 2433 บทบาทของกรมพระคลังมหาสมบัติ ถูกยกเพิ่มขึ้นจากเดิม ที่สำคัญคือการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน อีกทั้งยังทรงปรับปรุงการเก็บภาษีอากร ซึ่งในการคลังนี้ก็มีการปรับปรุงภาษีบำรุงถนน
ดารารัตน์ อธิบายว่า “ภาษีบำรุงถนน” ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ได้เพียงเน้น “บำรุงถนน” เท่านั้น จากที่เห็นได้เมื่อการปรับเป็นทรายหรือเงิน เปลี่ยนมาเป็นปรับเงินและไม่เจาะจงว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายด้านใด
สภาพโรงหญิงโสเภณี
สำหรับผู้สนใจ (ปัญหา) เกี่ยวกับสภาพของโรงหญิงโสเภณี และสภาพการหาหญิงดังที่เอ่ยข้างต้น บทความเรื่อง “นครโสเภณีหรือเมืองมหาวิทยาลัย” โดย บัณฑิต จุลาสัย และ รัชดา โชติพานิช เผยแพร่ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม พ.ศ. 2559 หยิบยกประกาศในหนังสือพิมพ์ไทย เมื่อ พ.ศ. 2462 ซึ่งเขียนถึง “หญิงนครโสเภณี” ใจความตอนหนึ่งว่า
“…พวกหญิงที่หาเงินในการร่วมประเวณีกับชาย หรือที่เรียกว่า หญิงนครโสเภณี (หญิงงามเมือง) เมื่อจะเกิดมีเปนหมู่คณะขึ้นในกรุงสยามนั้น ได้ทราบจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สืบต่อมาว่า เดิมมีหญิงสองคน เรียกชื่อว่า ยายแฟง และยายแตง เปนผู้คิดตั้งโรงหญิงนครโสเภณีขึ้นก่อน คือยายแฟงได้ตั้งขึ้นที่ตรอกเต๊าแห่งหนึ่ง และยายแตงได้ตั้งขึ้นที่ตรอกแตง (สำเพ็ง) แห่งหนึ่ง
วิธีที่จะหาหญิงเข้าอยู่ในคณะนี้ ยายต้องลงทุนทรัพย์มากมาย คือรับซื้อหญิงเสเพลมาไว้เปนทาสอย่างหนึ่ง หรือหญิงที่ติดตามชายไปโดยทางชู้สาว และชายพาไปขายไว้เปนทาสอย่างหนึ่ง บางทีผู้ที่ประพฤติตนเปนหญิงแพสยาได้สมัคเข้าหาเงินเองบ้าง จนมีคำเล่าลือว่าพวกนายโรงหญิงนครโสเภณีได้พากันร่ำรวยด้วยการหาเงินในทางนี้มากมาย ถึงกับได้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งซึ่งอยู่ที่น่าบ้านพระอนุวัตน์ราชนิยม ให้ชื่อว่า วัดคณิกาผล (ผลที่สร้างขึ้นด้วยทรัพย์ของหญิงนครโสเภณี) ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ แต่ชาวบ้านมักเรียกชื่อโดยตรงว่า วัดใหม่ยายแฟง”
ส่วนผู้ที่จะเป็นนายโรงหญิงนครโสเภณีต้องเป็นผู้หญิง และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ห้ามนายโรงรับเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีมาไว้บริการ
การควบคุมดูแลกิจการอย่างเข้มงวดทำให้รัฐมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและเก็บเงินรายได้จากหญิงโสเภณี โดยเป็นนายโรง เสียค่าธรรมเนียมขอรับใบอนุญาต ฉบับละ 30 บาท สำหรับใบอนุญาตที่มีอายุความ 3 เดือน ส่วนหญิงโสเภณี เสียค่าธรรมเนียมฉบับละ 12 บาท มีอายุความ 3 เดือนหากตั้งโรงหญิงนครโสเภณีโดยไม่มีใบอนุญาต หรือใช้ใบอนุญาตของผู้อื่น จะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 200 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ พื้นที่เขตพระนครอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่กระทรวงนครบาล ส่วนพื้นที่เขตนอกพระนครเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยดูแล
เมื่อผ่านยุค “ยายแฟง” และยายแตงไปแล้ว บัณฑิต จุลาสัย และ รัชดา โชติพานิช เล่าว่า ปรากฏหลักฐานผู้ขอตั้งโรงหญิงโสเภณีขึ้นอีกหลายแห่งในพระนคร ผู้ประสงค์ตั้งสถานบริการหญิงนครโสเภณีสามารถขออนุญาตจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตามความในพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ. 2451) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่า เป็นอีกข้อบ่งชี้ว่าอาชีพการให้บริการของโสเภณีปรากฏขึ้นในไทยมานานแล้ว ผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการมีหลากหลายเชื้อชาติ เมื่อนั้นจึงต้องควบคุมโรค ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ขายบริการต้องจดทะเบียน มีเอกสารประจำตัว
ยุคกฎหมาย “ปรามการค้าประเวณี”
พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ. 2451) ใช้สืบเนื่องมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พ.ร.บ. นี้ประกาศใช้หัวเมืองทุกมณฑลทั่วราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2456 กระทั่งถึงยุครัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งออกพ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณีมาใช้แทน ใน พ.ศ. 2503 จึงได้ยกเลิกไป และปรากฏพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 สืบเนื่องต่อมา
กฎหมายดังกล่าวย่อมเป็นหลักฐานที่บ่งชี้เรื่องที่ทางของผู้ขายบริการทางเพศในสังคมไทยย้อนไปได้ราว 200 ปี ภายหลังการยกเลิก พ.ร.บ. ป้องกันสัญจรโรค ร.ศ. 117 สถานการณ์กิจการค้าประเวณีเป็นอย่างไรกันบ้าง คงเป็นที่ทราบกันดีทั้งจากรายงานข่าว หรือประสบการณ์ตรงตามแต่ประชาชนในแต่ละท้องที่สัมผัสกันมา
ที่มา silpa-mag.com
- ทำไมต้องโคมเขียว มีไว้ทำไม ส่องฉาก "ย่านโสเภณี" ในละคร คุณพี่เจ้าขาฯ
- รู้หรือไม่ 'จีวรลายดอกพิกุล' มีอยู่จริงในอดีต นิยมในพระเถระชั้นผู้ใหญ่
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รู้จัก ภาษีบำรุงถนน จุดเริ่มขายบริการถูกกฎหมายครั้งแรกในไทย กับฉากในละคร คุณพี่เจ้าขาฯ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th