มัดรวม 11 สถิติ Thailand Digital Spending 2024 เผยข้อมูลน่าสนใจแห่งโลกแห่งการตลาดดิจิทัล
วนกลับมาอีกครั้งกับงาน DAAT DAY 2024 ที่จัดโดยสมาคมสโฆษณาดิจิทัล หรือ The Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) และคันทาร์ (ประเทศไทย) ซึ่งภายในงานมีการเปิดเผยผลการสำรวจมูลค่างบโฆษณาดิจิทัลของประเทศไทยในปี 2566 ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด 14% รวมถึงคาดการณ์มูลค่าอุตสาหกรรมในปี 2567 ที่จะเติบโตต่อเนื่องกว่า 8% เลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่คือส่วนหนึ่งของ Session “Thailand Digital Ads Spending” เพราะภายในงานยังมีการเปิดเผยข้อมูลเด็ดที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งวันนี้ AD ADDICT ก็เป็นตัวแทนมาสรุปสถิติที่น่าสนใจให้ทุกคนแบบเรียลไทม์เช่นเคย
ขอบคุณข้อมูลจากทางสมาคมโฆษณาดิจิทัลแห่งประเทศไทย, Kantar และอีก 37 เอเจนซีที่มีส่วนร่วมในการจัดทำข้อมูลในครั้งนี้ด้วยฮะ
1. Thailand Digital Spending 2024 คาดโตขึ้นถึง 8%
ผลสำรวจ Thailand Digital Spending 2024 คาดว่าจะมีการลงทุนในสื่อโฆษณาดิจิทัลอยู่ที่ 31,558 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 8% จากปีที่แล้ว
โดยสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกอย่างเทคโนโลยีที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถใช้ Digital Advertising ง่ายขึ้น นอกจากนั้นอีกหนึ่งปัจจัยคือ หลาย ๆ แบรนด์กลับมาโฟกัสที่ Awareness Campaign กันมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการ Reach คน
2. สกินแคร์ครองอันดับ 1 อุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินในดิจิทัลเยอะที่สุด
.สาเหตุที่วงการสกินแคร์มียอดการใช้เงินที่เยอะมากในปีนี้ เป็นผลมาจากการคลี่คลายของสถานการณ์โรคระบาดที่คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำให้พวกเขาต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีก่อนออกจากบ้าน
นอกจากนั้นปัจจัยภายนอกอย่างการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะฝั่งเอเชียอย่างจีน และเกาหลีเข้ามา ซึ่งพวกเขาคือลูกค้าหลักที่เข้ามาจับจ่ายสกินแคร์และเครื่องสำอางในไทย
ที่สำคัญคือการใช้จ่ายเม็ดเงินในวันเลขเบิ้ลที่แบรนด์หันมาใช้เงินในการ Drive ยอดขาย เพื่อต่อยอดไปในฝั่งของ E-Commerce
3. วงการยานยนต์ครองอันดับ 2 เป็นผลมาจากการเข้ามาของรถยนต์ EV จากจีน
ถัดมาที่อันดับ 2 ก็คือวงการยานยนต์ที่อยู่ในอันดับเดิมทั้งปีที่แล้วและปีนี้ ซึ่งในปีที่แล้วมีการเติบโตกว่า 24% และในปี 2024 แม้จะลดลง 1% แต่ก็มองว่าเป็นการคงที่มากกว่า
โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากรถยนต์ EV ที่มาจากประเทศจีน ที่เข้ามาเปิดแบรนด์ใหม่ ๆ พร้อมแก้ปัญหา Pain Point เรื่องการชาร์จแบตที่แบรนด์เดิม ๆ ทำไม่ได้ ทำให้แบรนด์ EV เจ้าเก่า ต้องมีการลงเม็ดเงินโฆษณาเพื่อแข่งกับคู่แข่งใหม่ ๆ
4. ในปี 24 คาดการณ์ว่าเครื่องดื่ม Non Alcoholic มีการเติบโตขึ้นกว่า 6%
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ในอันดับ 3 ทั้งในปี 2023 และปี 2024 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 6 % ในปีนี้ ด้วยยอดกว่า 2,548 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่มีการใช้เงินเพิ่มขึ้น คือแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Coca-Cola และ Pepsi ที่มีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์รับหน้าร้อน ซึ่งกลุ่มอุปโภคบริโภค คืออีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วย Drive เม็ดเงินโฆษณาให้เติบโตทั้งในปีที่แล้ว และปีนี้
5. กลุ่มธนาคารมีการใช้เม็ดเงินโฆษณาลดลง แต่เน้นลงทุนในเทคโนโลยี
ที่น่าสนใจคือวงการธนาคารที่มีการใช้เม็ดเงินในฝั่งของโฆษณาที่น้อยลง ทั้งในปีที่แล้ว ที่ลดลง 8% และในปี 2024 ที่คาดการณ์ว่าจะลดลงอีก 4%
เป็นผลมาจากการหันไปลงทุนในฝั่งของเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มในการเก็บ Data ของลูกค้า และเลือกที่จะสื่อสารภายในกลุ่มของลูกค้าที่มีฐานข้อมูลอยู่แล้วเท่านั้น
6. Meta ยังคงครองอันดับ 1 แชมป์ช่องทางโฆษณา ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
เป็นอีกครั้งที่แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Meta ครองแชมป์สื่อที่มีการใช้ยอดเงินโฆษณามากที่สุด และในปี 2024 ก็มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3% ด้วยกัน
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Facebook ยังคงเป็นโซเชียลมีเดียหลักที่นักการตลาดและแบรนด์ให้ความสนใจ เนื่องจากสามารถเจาะกลุ่มผู้ใช้ได้หลากหลายทุกเพศทุกวัยมากที่สุดนั่นเอง
7. ยูทูบมียอดการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของสกินแคร์
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือการเติบโตของการใช้เงินบนช่องทางยูทูบ ที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจ และลงเงินในช่องทางนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์ ที่ต้องการแตะ Mass Target รวมไปถึงเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่อยากเจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบในเรื่องของดนตรีและคอนเสิร์ต และ Daily Product เกี่ยวกับแม่และเด็ก
8. TikTok เติบโตพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในปี 2024
สิ่งที่น่าสนใจคือแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง TikTok มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของยอดผู้ใช้ รวมไปถึงเม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดการใช้จ่ายที่แตะ 3 พันล้านเลยทีเดียว
9. เม็ดเงินโฆษณาไหลไปการ Live มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า
อีกหนึ่งสื่อที่น่าสนใจในปีนี้ก็คือ Live Commerce ที่หลายแบรนด์หันมาให้ความสำคัญ และโฟกัสกับมันมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งสกินแคร์ ที่มีการไลฟ์ขายของ แจกโปรโมชั่นลดกระหน่ำในช่วงดับเบิ้ลเดย์ รวมไปถึงฝั่ง Market Place ที่มีการไลฟ์ขายของในแพลตฟอร์มของตัวเอง ทำให้แบรนด์ใหญ่ ๆ หันมาทำไลฟ์ขายของ ติดตะกร้ากันมากขึ้น
ดังนั้นแบรนด์ต้องพยายามใช้ KOL และ อินฟลูฯ เพื่อเพิ่มความบันเทิงและวาไรตี้ ให้คนมีความสนใจอยากซื้อสินค้ามากขึ้น
10. LINE คือแพลตฟอร์มที่ช่วยในการเก็บ 1st Party Data
นอกจากโซเชียลอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ LINE เอง ก็เป็นแพลตฟอร์มที่แบรนด์หันมาให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในยุค Cookieless World ที่การหา Data เป็นเรื่องที่ยาก
LINE เข้ามาช่วยให้แบรนด์เก็บ 1st Party Data ของลูกค้าได้ ทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่คาดการณ์ว่าจะมียอดการใช้เงินที่เพิ่มมากขึ้น ยังไม่รวมถึงการพัฒนาช่องทาง Smart Channel ที่สามารถโฆษณาใน LINE ได้อีกด้วย
11. E-Commerce Tools และ AI คือเครื่องมือที่สำคัญในยุคนี้
ในส่วนของ Media Tools ที่นักการตลาดและชาวเอเจนซีควรจับตามองและใช้ประโยชน์มากที่สุด 2 อันดับแรกคือ E-Commerce Tools และ AI
โดย E-Commerce Tools มีประโยชน์อย่างมากในวันดับเบิลเดย์ ที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพกว้างและสามารถเปรียบเทียบเรากับคู่แข่ง ได้โดยที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก
ส่วน AI จะเข้ามาส่วนร่วมใน Media Tools เป็นผู้ช่วยสำคัญในทุก ๆ กระบวนการ ทั้งขายแคมเปญ, ทำคอนเทนต์, ลงโฆษณา และแทบจะทุก ๆ ขั้นตอนของการทำแคมเปญ
แต่เราจะปล่อยให้ E-Commerce Tools และ AI ทำงานอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเรายังต้องการ Talents มามอนิเตอร์ Real-Time Dashborad อยู่ดี