โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"ค่ายรถญี่ปุ่น" 6 แบรนด์ดัง ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า สร้างเงินกว่า 50,000 ล้านบาท

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว
“ค่ายรถญี่ปุ่น” 6 แบรนด์ดัง ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ลุยอุตสาหกรรมใหม่ 50,000 ล้านบาท

"ค่ายรถญี่ปุ่น" ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ลุยอุตสาหกรรมใหม่ 50,000 ล้านบาท

ไทยกวักมือเรียกทุนญี่ปุ่น อยากให้มาลงทุนมากขึ้น ล่าสุดบีโอไอก็ได้ไปโรดโชว์บุกไปถึงประเทศญี่ปุ่น เน้นกลุ่ม "ยานยนต์ - อิเล็กทรอนิกส์" และข่าวดีก็คือ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นถึง 6 ค่าย ยืนยันว่าพร้อมจะเดินหน้าลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาทในไทย

ความหวังสำหรับภาคอุตสาหกรรมในไทย ในการแข่งขันสำหรับอนาคต ล่าสุด ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 ราย ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน ซึ่งเป็นค่ายรถมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ความชัดเจนว่าจะมีการผลิต HEV และ MHEV ในประเทศ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะช่วยสร้างเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ข้อมูลนี้เปิดเผยจากทางบีโอไอ หรือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หลังจากทางคณะได้บุกไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โดยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ระบุว่าบีโอไอร่วมกับ JETRO, ธนาคาร SMBC และพันธมิตรภาคธุรกิจญี่ปุ่น จัดสัมมนาใหญ่ “Thailand-Japan Investment Forum 2025” ณ Tokyo Kaikan กรุงโตเกียว เพื่อนำเสนอนโยบายและมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ และโอกาสการลงทุนสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น และงานนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมาก มีผู้บริหารบริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า 450 คน ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ พลาสติก อาหารแปรรูป รวมถึงกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น สถาบันการเงิน ธุรกิจดิจิทัล การค้า และโลจิสติกส์ สะท้อนถึงความสนใจและการให้ความสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีต่อประเทศไทย

โดยในงานสัมมนาดังกล่าวนี้ ทางด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาเปิดงานผ่านระบบออนไลน์ โดยย้ำถึงความสัมพันธ์ไทย–ญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งมายาวนาน และบทบาทสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 6,000 บริษัทในประเทศไทย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหลักของไทย ทั้งยังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดขอรับการส่งเสริมรวมกว่า 1,400 โครงการ เม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 4.2 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายรัฐบาล “Quick Big Win” โดยเฉพาะเสาที่ 5 ว่าด้วยการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งมอบหมายให้บีโอไอขับเคลื่อนผ่าน 3 มาตรการหลัก ได้แก่ การจัดทำโครงการ Thailand Fast Pass เพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการสำคัญ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง 1 แสนคน และการยกระดับผู้ประกอบการไทยในซัพพลายเชนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

อีกทั้งได้ย้ำการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น โดยบอร์ดอีวีได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการผลิต HEV/Mild Hybrid และอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ เป็นต้น

ในขณะที่เลขาธิการบีโอไอ ได้นำเสนอปัจจัยดึงดูดการลงทุนของไทย มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สำคัญ และโอกาสการลงทุนในสาขาเป้าหมาย โดยเน้น 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (เกษตร อาหาร สุขภาพ และพลังงานสะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนเป็นสาขาที่นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญและมีความสนใจออกไปลงทุนในต่างประเทศ

ที่สำคัญนอกจากงานสัมมนาใหญ่แล้ว บีโอไอยังได้หารือและเจรจาแผนการลงทุนร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 ราย ซึ่งต่างก็มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่ โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน โดยค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่เร่งสร้างความชัดเจนในมาตรการสนับสนุนการผลิต HEV และ MHEV ซึ่งจะช่วยสร้างเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท

และมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเพิ่มเติม 3 ด้านสำคัญ คือ มาตรการช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศ มาตรการปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ และมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการส่งออกรถยนต์ ซึ่งบีโอไอได้ตอบรับที่จะนำข้อเสนอทั้งหมดไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำเสนอบอร์ดอีวีต่อไป

ภาคธุรกิจ "ไทย-ญี่ปุ่น" จับมือ จ้างงาน สร้างเงิน สร้างรายได้

คณะทำงานของไทยยังได้หารือกับนักลงทุนเป้าหมายและพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ บริษัท Panasonic, บริษัท Toppan, ธนาคาร SMBC, ธนาคาร MUFG, กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) และ JETRO - บริษัท Panasonic ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่

ที่ผ่านมามีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 10,000 คน โดยได้หารือโครงการลงทุนใหม่ ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 4,000 ล้านบาท เพื่อผลิต MEGTRON วัสดุสำหรับผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ใน AI Server รวมทั้งได้หารือถึงการขยายกิจกรรมวิจัยและพัฒนาในไทย

รวมไปถึงบริษัท Toppan ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัล และการพิมพ์ความปลอดภัยสูง มีบริษัทในไทย 5 แห่ง ผลิตบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ความปลอดภัยสูง เช่น บัตรเครดิต โดยบริษัทมองไทยเป็นจุดสำคัญในภูมิภาคและมีแผนขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บีโอไอยังได้เชิญชวนให้พิจารณาขยายการลงทุนผลิต IC Substrate ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วและเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ

ธนาคาร SMBC และธนาคาร MUFG ได้หารือแนวทางในการสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมสาขาใหม่ ๆ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีข้อเสนอในการช่วยเหลือ SMEs ไทย ผ่านมาตรการ Supply Chain Financing ที่จะปล่อยสินเชื่อแก่ SMEs ไทยที่ได้รับการรับรองจากบริษัทญี่ปุ่นที่เป็นผู้จัดซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจให้กับ SMEs ด้วย

หน่วยงานรัฐของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวง METI และ JETRO ได้หารือแนวทางสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ สุขภาพและการแพทย์ รวมทั้งการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและความยั่งยืนของภาคธุรกิจญี่ปุ่นในไทย

"มาสด้า" ทุ่มทุน 5,000 ล้านบาท ใช้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออก 100,000 คันต่อปี

"มาสด้า" (MAZDA) ประกาศลงทุนเพิ่ม 5,000 ล้านบาท ใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) กำลังผลิต 1 แสนคันต่อปี เดินสายการผลิตปี 2570 ส่งออกไปญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาเซียน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม2568 คณะผู้บริหารบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น นำโดย นายมาซาฮิโระ โมโระ ประธานและผู้บริหารสูงสุด เข้าพบ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยเลขาธิการบีโอไอ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำเสนอแผนการลงทุนในประเทศไทย

หลังจากคณะกรรมการนโยบาย ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยกำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) ทำให้บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจลงทุนเพิ่มกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มลงทุนต้นปี 2569 คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางปี 2570

ปัจจุบัน กลุ่มมาสด้ามีบริษัทในประเทศไทย 4 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจด้านการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การจำหน่าย และการตลาดระดับภูมิภาค โดยได้จัดตั้ง บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) ร่วมกับ ฟอร์ด เพื่อเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญของภูมิภาค ทั้งรถกระบะและรถยนต์นั่ง ที่ผ่านมามีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 4 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งบริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (MPMT) เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของเครื่องยนต์เทคโนโลยี SKYACTIV และเกียร์ในภูมิภาค มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 12,000 ล้านบาท

การลงทุนผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น B-SUV กำลังการผลิต 1 แสนคันต่อปี โดยกว่า 60% จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน เนื่องจากบริษัทฯ และลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) กว่าร้อยละ 70 อีกด้วย โครงการนี้นับเป็นก้าวแรกของบริษัทฯ ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่ก้าวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ต่อไปในอนาคต

มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV

บอร์ดอีวีได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ 10% (กรณีปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km) และ 12% (กรณีปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 – 120 g/km) โดยจะเป็นอัตราคงที่ในเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 และต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ

นายนฤตม์ กล่าวว่า รัฐบาลและบอร์ดอีวี มีเป้าหมายชัดเจนในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์จากยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ (xEV) ทั้ง BEV, PHEV, HEV และ MHEV เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมทั้งเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค การประกาศลงทุนครั้งใหญ่ของมาสด้า ด้วยกำลังการผลิตที่สูงถึง 1 แสนคันต่อปี เพื่อใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปประเทศต่างๆ รวมถึงส่งกลับไปที่ญี่ปุ่นด้วย นับเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ตอกย้ำว่าประเทศไทยเดินมาถูกทาง และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนและผู้บริโภคมีต่อประเทศไทยว่าสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...