โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เมื่ออธิปไตยกลายเป็นตัวแปรเศรษฐกิจ ชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเดือด สะเทือนดีลภาษีสหรัฐฯ แค่ไหน?

THE STANDARD

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
เมื่ออธิปไตยกลายเป็นตัวแปรเศรษฐกิจ ชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเดือด สะเทือนดีลภาษีสหรัฐฯ แค่ไหน?

ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความอ่อนไหวขึ้นในช่วงล่าสุด หอการค้าไทยได้ออกมาย้ำจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ‘อธิปไตยต้องมาก่อน’ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าปัจจัยดังกล่าว จะไม่สั่นคลอนทิศทางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีอัตราภาษีที่ระดับ 19% ที่ไทยยังแข่งขันได้

ภาคผู้ส่งออกไทยสะท้อนมุมมองในอีกด้านว่า การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ อาจไม่สามารถปิดดีลได้ในระยะสั้น และยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะหยิบยกประเด็นความปะทะบริเวณชายแดนมาชะลอการเจรจาครั้งใหม่หรือไม่

ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งแรงสั่นสะเทือนต่อทิศทางการค้า การลงทุน ไม่เพียงเป็นประเด็นด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ที่ทุกฝ่ายต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

หอการค้าย้ำ ‘อธิปไตยชาติสำคัญที่สุด’

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงทิศทางเศรษฐกิจและการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ท่ามกลางความกังวลว่าเหตุปะทะอาจส่งผลกระทบต่อกรอบเวลาการเจรจาภาษี

ดร.ชนินทร์ แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ชายแดนว่า ภาคเอกชนเข้าใจสถานการณ์ดีและขอเอาใจช่วยรัฐบาล โดยมองว่าความมั่นคงและอธิปไตยของชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (Absolute) พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยมีความชอบธรรม (Legitimate) และมีสิทธิในการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง

เมื่ออธิปไตยกลายเป็นตัวแปรเศรษฐกิจ ชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเดือด สะเทือนดีลภาษีสหรัฐฯ แค่ไหน? 1

ประเด็นหลักของความขัดแย้งในครั้งนี้ ดร.ชนินทร์ระบุว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องทุ่นระเบิดและการเก็บกู้ (De-mining) ซึ่งตามข้อตกลงควรจะต้องมีการเจรจาและเก็บกู้ระเบิด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ขัดขวางไม่ให้มีการถอดทุ่นระเบิด ซึ่งถือว่าผิดสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) และกฎบัตรสหประชาชาติ

โดยภาคเอกชนเชื่อมั่นในทีมกระทรวงการต่างประเทศที่จะชี้แจงในเวทีโลกว่าไทยไม่ใช่ผู้เริ่มต้นเหตุการณ์

ยืนยันภาษีสหรัฐฯ อยู่ที่ 19% ไม่ใช่ 36% ย้ำยัง ‘สู้ได้’

ในประเด็นเรื่องการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะชะงักงัน ดร.ชนินทร์ ชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า

“ปัจจุบันอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยตามข้อตกลงล่าสุด เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 19% เท่านั้น ไม่ใช่ 36% อย่างที่กังวลกัน”

ซึ่งเป็นอัตราที่บังคับใช้แล้วและครอบคลุมเกือบทุกประเทศในอาเซียน ทำให้ไทยยังพอมีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้

สำหรับการเจรจาเพื่อขอลดภาษีให้ต่ำกว่า 19% ที่รัฐบาลชุดนี้และกระทรวงพาณิชย์พยายามผลักดันนั้น

“แม้อาจจะไม่ทันกำหนดเวลาเดิมหรือต้องหยุดชะงักชั่วคราวเนื่องจากปัญหาชายแดน แต่ทางภาคเอกชนมองว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และควรรอให้เหตุการณ์สงบเรียบร้อยเสียก่อนจึงค่อยกลับมาเจรจา”

เป้าหมายถัดไปดันสินค้าเกษตร-อาหาร เข้า ‘Exemption List’

ดร.ชนินทร์ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการหารือกับภาคธุรกิจของสหรัฐฯ มาโดยตลอด และเห็นแนวโน้มที่ดีในการเจรจาครั้งต่อไป โดยเป้าหมายสำคัญไม่ใช่เพียงการลดภาษีจาก 19% แต่คือการผลักดันให้สินค้าเกษตรและอาหารของไทย เช่น กาแฟ น้ำมะพร้าว และเนื้อสัตว์ เข้าไปอยู่ใน บัญชียกเว้นภาษี (Exemption List) หรือไม่เสียภาษีเลย

ทั้งนี้ ภาคเอกชนยืนยันว่ามีข้อมูลพร้อมครบถ้วนแล้ว หากสถานการณ์ชายแดนคลี่คลายและมีความชัดเจนเมื่อใด ก็พร้อมที่เดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ ได้ทันที

โดยสถานการณ์ในขณะนี้เปรียบเสมือนการที่เราต้องเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย ก่อนที่จะลงมือปลูกสร้างสิ่งใหม่ ดร.ชนินทร์ ย้ำว่า “ขอให้จัดการปัญหาอธิปไตยให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจและการค้านั้น ฐานที่ 19% ยังเป็นจุดที่ภาคธุรกิจไทยยืนอยู่ได้ และพร้อมจะวิ่งต่อทันทีเมื่อสัญญาณความมั่นคงชัดเจน”

ห่วงเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ยากที่จะปิดดีลในเร็ววัน

ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท. ) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สรท. มองว่า “จากการประเมินการเจรจาภาษีสหรัฐฯ คงจะยังไม่ยุติในเร็ววัน ประเด็นนี้ทรัมป์จะยกเรื่องการปะทะมาชะลอการเจรจาหรือไม่ คาดเดาได้ยากมาก ขึ้นอยู่กับเขามองเรื่องนี้อย่างไร จะเอามาปนกันหรือไม่ เป็นไปได้หมด ทางไทยต้องประคอง เก็บหลักฐานการถูกรุกรานก่อนให้ครบถ้วนที่สุด”

เมื่ออธิปไตยกลายเป็นตัวแปรเศรษฐกิจ ชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเดือด สะเทือนดีลภาษีสหรัฐฯ แค่ไหน? 2

อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา และผลกระทบต่อภาคการส่งออก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะกรณีที่เกิดการเผชิญหน้าหรือมีความเสี่ยงปะทะเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าและมีความเปราะบางสูง

1. สถานการณ์ที่ตึงเครียดต่อเนื่องมีแนวโน้มส่งผลกระทบโดยตรง

  • ความมั่นคงของเส้นทางการค้าชายแดน
  • ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และเวลาขนส่ง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้ส่งออก และผู้บริโภค

ซึ่งอาจซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลออยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่ปกติควรเป็นฤดูกาลที่กิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นตัว

2. ผลกระทบจริงที่เกิดขึ้นต่อผู้ส่งออกไทย (ตามข้อมูล สรท.)

ปัจจุบัน ผู้ส่งออกจำนวนมากได้ หยุดการขนส่งผ่านด่านชายแดน และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปใช้

  • เส้นทางเรือ (sea freight)
  • การลากตู้ทางบกในระยะทางที่ไกลขึ้น (inland haulage)

ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความล่าช้า ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทางดังกล่าวทำให้

  • ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • ระยะเวลาขนส่งยาวขึ้น
  • กระทบต่อความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

ผลกระทบนี้รุนแรงเป็นพิเศษสำหรับ SMEs ที่มีความอ่อนไหวต่อต้นทุนและสภาพคล่อง

3. ข้อเสนต่อรัฐบาล

สรท.ขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ดังนี้

1.ใช้สันติวิธีและการทูตเป็นกลไกหลัก

เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลาม ซึ่งจะช่วยรักษาความเชื่อมั่นจากคู่ค้าต่างประเทศและปกป้องภาพลักษณ์ของประเทศไทย

2.บริหารจัดการพื้นที่ชายแดนให้ปลอดภัย พร้อมดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพเส้นทางโลจิสติกส์

รวมถึงการเตรียมความพร้อมของด่านทางเลือกหรือเส้นทางขนส่งสำรอง เพื่อไม่ให้ระบบส่งออกหยุดชะงัก

3.สื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
เพื่อลดความกังวลของประชาชน นักท่องเที่ยว และภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งบรรยากาศด้านความเชื่อมั่นมีผลโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

4.พิจารณามาตรการบรรเทาต้นทุนโลจิสติกส์เร่งด่วนเช่น

  • มาตรการลดค่าใช้จ่ายท่าเรือ
  • การอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากร
  • สิทธิประโยชน์ภาษีชั่วคราว

เพื่อช่วยผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนเส้นทางขนส่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

4. ผลต่อบรรยากาศช่วงปีใหม่

หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียดหรือเกิดเหตุปะทะเพิ่มเติม อาจส่งผลต่อ

  • ความรู้สึกปลอดภัยของประชาชน
  • การเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงเทศกาล

ซึ่งอาจทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจช่วงปีใหม่ “อ่อนแรงกว่าที่ควรจะเป็น”แต่หากรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ดี ใช้การทูตเชิงรุก และสื่อสารอย่างต่อเนื่องผลกระทบดังกล่าวจะลดลงและจำกัดอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น

5. เสถียรภาพชายแดน = เสถียรภาพด้านการค้าและเศรษฐกิจโดยตรง

ภาครัฐจึงควรดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดลุกลาม พร้อมช่วยเหลือผู้ส่งออกที่กำลังเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนเส้นทางขนส่ง

ภาพ: Harvepino / Getty images

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...