โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

บทเรียนราคาแพง การตลาดแบบ Woke ที่เปลี่ยน Budweiser จากราชาเบียร์แห่งสหรัฐอเมริกา ให้เสียแชมป์ตลอด 20 ปีและฐานแฟนคลับไปอย่างรวดเร็ว

The Structure

อัพเดต 25 ส.ค. 2567 เวลา 14.48 น. • เผยแพร่ 25 ส.ค. 2567 เวลา 07.48 น. • The Structure

เบียร์ยี่ห้อ “บัดไวเซอร์ (Budweiser)” เคยเป็นเบียร์ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐมาตลอด 20 ปีต่อเนื่อง จนเคยมีฉายาว่า ราชาแห่งเบียร์ จนกระทั่งในปี 2566 บัดไวเซอร์ได้สร้างความผิดพลาดด้านการตลาดอย่างร้ายแรง ในการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่มีภาพลักษณ์เบียร์ของผู้ชาย ให้กลายเป็นเบียร์ของคนข้ามเพศ เป็นราชาแห่งโว้คเบียร์ (King of Woke Beer) ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากฐานลูกค้าเดิม จนยอดขายของบัดไวเซอร์ตกลงอย่างมาก ถูกเบียร์ยี่ห้อ “โมเดโล่ (Modelo)” จากเม็กซิโกแย่งตำแหน่งเบียร์ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐแทน ความผิดพลาดของบัดไวเซอร์เริ่มต้นจากการว่าจ้าง อลิสสา ไฮเนอร์ไชด์ (Alissa Heinerscheid) มาเป็นรองประธานบริษัทด้านการตลาดในปลายปี 2565 และอลิสสามองว่า ภาพลักษณ์ของแบรนด์เบียร์บัดไลท์ (Bud Light) นั้นมีความเป็นผู้ชายสูงและไม่มีอารมณ์ขันเลย

เธอจึงปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นเบียร์ของทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ โดยในเดือนมีนาคม 2566 เธอได้ว่าจ้างให้ดีแลนด์ มัลเวย์นี (Dylan Mulvaney) อินฟลูเอ็นเซอร์หญิงข้ามเพศมาโปรโมทเบียร์บัดไลท์ให้ ซึ่งดีแลนด์ได้โปรโมทว่าบัดนั้นเป็นเบียร์ของคนข้ามเพศ เป็นราชาแห่งโว้คเบียร์ (King of Woke Beer)การโปรโมทดังกล่าวได้ทำลายภาพลักษณ์เดิมของบัดไวเซอร์ ซึ่งเป็นเบียร์ของผู้ชายมาดแมน ที่นิยมจิบเบียร์ไปพร้อม ๆ กับการเชียร์กีฬา จิบเบียร์หลังเลิกงาน หรือนั่งดื่มล้อมวงคุยกันที่ปาร์ตี้หลังบ้านอย่างยับเยิน จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนักจากฐานลูกค้าของบัดไวเซอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแท้ ๆ แฟนคลับของบัดไวเซอร์ทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะนักร้องนักดนตรี ต่างออกมาประกาศแบนสินค้าของบัดไวเซอร์และประกาศจะไม่ร่วมงานด้วย และเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่ดีแลนด์เผยแพร่โพสต์ดังกล่าว ยอดขายของบัดไวเซอร์ตกลงทันที 17%

และในเดือนพฤษภาคมปีนั้น โมเดโล่ขึ้นมาแย่งตำแหน่งเบียร์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐ หยุดตำนานอันดับ 1 ตลอด 20 ปีของบัดไวเซอร์ลง

ถึงแม้ว่าประธานบริษัทจะพยายามออกมาแก้ไขสถานการณ์ด้วยการกล่าวว่า “เราอยากทำให้บัดเป็นเบียร์ของทุกคน” แต่สถานการณ์ของบัดไวเซอร์ไม่ได้ดีขึ้นเลยซ้ำร้าย แบรด์ยังคงพยายามผลักดันแนวคิดโว้คต่อไป โดยในช่วงกลางปี 2565 ซึ่งกระแสการต่อต้านยังคงระอุอยู่ ด้วยการออกสินค้าเวอร์ชั่นพิเศษ มีการตีพิมพ์ภาพของดีแลนด์ลงบนกระป๋องเบียร์ เนื่องในโอกาสที่ดีแลนด์เปลี่ยนเพศมาเป็นผู้หญิงครบหนึ่งปี

ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เบียร์สำหรับผู้ชายมาดเข้มถูกฉีกทิ้งเสียยับเยิน กลายมาเป็นเบียร์สำหรับชาวโว้ค ผู้หญิงข้ามเพศไปทันที และนั่นทำให้ในเดือนกันยายน 2565 ยอดขายของบัดไวเซอร์ตกลง 27% เมื่อเทียบกับยอดขายในปีก่อนหน้า— บทเรียนที่เจ็บปวดด้านการตลาด —กรณีศึกษาข้างต้นนี้ เป็นเรื่องของการตลาด ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยการทำความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้คนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า และถึงแม้ว่าแนวความคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศจะเป็นที่ยอมรับในสังคมไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะนำความหลากหลายเข้ามาใช้ในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีเสมอไปผู้ชายแท้ ๆ หลายคนให้การยอมรับในตัวกลุ่ม LGBTQ+ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเปลี่ยนเพศไปเป็น LGBTQ+ และการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์บัดไวเซอร์ จากเบียร์สำหรับผู้ชาย ให้กลายเป็นเบียร์สำหรับผู้หญิงข้ามเพศนั้น ได้ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นผู้ชายแท้ ๆ รู้สึกเหมือนได้กลายเป็นผู้หญิงข้ามเพศ หากตนเองดื่มบัดไวเซอร์ลงไป

สร้างความรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังถูกยัดเยียดให้เป็นในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็น จนทำให้เกิดความคิดต่อต้าน และหันไปดื่มเบียร์ยี่ห้อที่มีภาพลักษณ์ว่าใช่ในสิ่งทีตนเองเป็นแทนนักการตลาดควรจึงระวังในภาพลักษณ์ของแบรนด์ตัวเองอย่างมาก ในประเทศไทย เคยมีดาราหญิงผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศของไทยท่านหนึ่ง พึงพอใจในรถยนต์รุ่นหนึ่งจากค่ายรถญี่ปุ่นอย่างมาก จึงเดินทางไปเสนอตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้รถรุ่นดังกล่าวให้ โดยไม่คิดค่าตัว ทั้ง ๆ ที่ค่าตัวของเธอในเวลานั้น อยู่ที่หลักสิบล้านบาทแต่บริษัทกลับปฏิเสธข้อเสนอของเธอไป ด้วยเหตุผลว่าภาพลักษณ์ของรถรุ่นดังกล่าวนั้น เป็นรถยนต์สำหรับผู้ชาย และเสนอให้เป็นพรีเซ็นเตอร์รถรุ่นอื่นที่เป็นรถยนต์สำหรับผู้หญิงแทน— ทางออกสำหรับแบรนด์ที่ต้องการโปรโมท LGBTQ+ —เช่นกัน กรณีนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างสินค้าสำหรับ LGBTQ+ ไม่ได้ เพียงแต่นักการตลาดต้องเข้าใจในลูกค้าของตนเองด้วยว่ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร มีรสนิยม ความชอบแบบไหน เพื่อตอบสนองต่อควาต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องบัดไวเซอร์นั้น มีภาพลักษณ์ของผู้ชายมาตลอด 20 ปี จึงไม่แปลกที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่เมื่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ถูกเปลี่ยน ลูกค้าเดิมจึงมีความรู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ออกมาต่อต้าน และหันไปหาคู่แข่งที่ใช่มากกว่าแทนนอกจากนี้ แนวความคิดของอลิสสา รองประธานบริษัทด้านการตลาดนั้น ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเพียงต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกค้าเลย ในอดีตโคลาโคล่า หรือโค้ก ได้ทำการเปลี่ยนรสชาติของโค้ก เนื่องจากเห็นว่ารสเดิมที่ขายมานานนั้นเก่าเกินไป ต้องการจะเปลี่ยนรสชาติใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด และเปลี่ยนชื่อแบรนด์ไปเป็น นิวโค้ก (New Coke)

แต่นั้นกลับทำให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนักในกลุ่มแฟนคลับของโค้ก ที่ยังคงรักในรสชาติแบบดั้งเดิม จนในที่สุดโค้กต้องยอมนำเอารสดั้งเดิมกลับมา จึงดับกระแสการต่อต้านดังกล่าวลงไปได้ในเวลาต่อมา ท่ามกลางกระแสไม่เอาน้ำตาล เนื่องจากการตระหนักรู้ในปัญหาโรคเบาหวานที่มีมากขึ้นในสหรัฐ ทำให้โค้กพัฒนาสูตรแบบไม่มีน้ำตาลออกมาหลายสูตร ไม่ว่าจะเป็น โค้กซีโร่ (Coke Zero) และโค้กไลท์ (Coke Lite) ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในตลาดที่เปลี่ยนไป

อีกทั้งพัฒนาสูตรให้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโค้กราสเบอร์รี่ โค้กไลม์ และโค้กวนิลา เพื่อตอบสนองต่อรสนิยม และความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้นด้วยถึงแม้ว่าจะมองเจตนาของอลิสสาในแง่ดีว่า เธอเพียงต้องการขยายตลาด ขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มชายแท้ ไปยังผู้บริโภคเพศอื่น แต่บัดไวเซอร์ไม่มีงานวิจัยทางการตลาดว่า ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ นั้นมีรสนิยมในการดื่มเบียร์อย่างไร และไม่มีการพัฒนาสินค้าเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเฉพาะหายนะทางการตลาดของบัดไวเซอร์ จึงถือเป็นบทเรียนที่ดีของนักการตลาด ไม่ให้ทำการตลาดแบบฉาบฉวย เพียงยัดเยียดสิ่งที่ตนเองคิดลงไป โดยไม่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในตลาดของตน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...