แบงก์ชี้ ‘ธุรกิจใหญ่’ ปัญหาโผล่ กังวลสะเทือนทั้งซัพพลายเชน
จับตาสัญญาณ “ธุรกิจใหญ่” ออกอาการมากขึ้น “กรุงไทย-กสิกรไทย” ยอมรับปัญหากระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม หวั่นกระทบเป็น “ลูกโซ่” ไปถึงซัพพลายเชน ประธานสมาคมแบงก์ชี้ความหวังอยู่ที่เครื่องยนต์ “ลงทุนรัฐ” ต้องเร่งใช้จ่าย บริษัทในตลาดหุ้น ไตรมาสแรกกำไรดำเนินงานวูบ 11% เบรกลงทุน-เร่งคืนหนี้
ธุรกิจใหญ่เปราะบางมากขึ้น
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยอมรับว่า “ธุรกิจรายใหญ่” ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัว และเปราะบางมากขึ้น ธนาคารจึงต้องมีการเลือก Selective มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว “ความเสี่ยง” ต้องเพิ่มขึ้น และปัญหาวนทั้งซัพพลายเชน เช่น ผู้ส่งออกพยายามเคลียร์สต๊อกในช่วงนี้ ไม่ผลิตใหม่ เพราะขายไม่ได้ ทำให้การผลิตก็ชะลอ นักท่องเที่ยวลด กระทบตัวการบริโภครายย่อย สะท้อนว่าปัญหามันวนเป็นวัฏจักรไปหมด ซึ่งก็ก็ต้องรอการลงทุนภาครัฐ 1.57 แสนล้านบาท จะเป็นไปตามคาดหวังได้หรือไม่
“ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวความเสี่ยงมันเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับหมด เพราะเรายังมีตัว G คือ การลงทุนภาครัฐอยู่ที่ความหวังในช่วงที่เหลือของปี”
จี้รัฐเร่งออกมาตรการสกัด
ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ เป็นช่วงจังหวะที่ต้องมีความระมัดระวังสูง เนื่องจากผลกระทบสามารถลากยาวและลึกได้ ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งออกมาตรการไม่ให้ปัญหาถลำลึกและขยายวงกว้างออกไป โดยจะต้องมีมาตรการประคับประคองเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงที่มีความผันผวนไปได้
ในแง่ของระบบสถาบันการเงินที่มีทรัพยากรจำกัด จึงต้องมีการจัดสรรทรัพยากรให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้เป็น “การหุบร่ม” แต่เป็นการคัดเลือกกลุ่มมากขึ้น (Selective) โดยเน้นการคัดเลือกกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ และสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากแต่ละธนาคารมีพอร์ตและกลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน ซึ่งในจังหวะเศรษฐกิจไม่ดี จำเป็นต้องแยกกลุ่มลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่ต้องประคับประคอง กลุ่มไหนที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งสำคัญ คือ การช่วยลูกค้าเรื่องการเปลี่ยนผ่าน การเสริมทักษะ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นต้น
ปัญหากระจายหลายอุตฯ
สอดคล้องกับนายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ก็ยอมรับว่าพอร์ตลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารมีปัญหาให้เห็นมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นปกติท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทั้งการชำระคืนไม่ได้ การผิดนัดชำระหนี้ต่าง ๆ ที่ธนาคารเริ่มเห็นอาการเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งธนาคารก็มีความเป็นห่วง และที่ผ่านมาธนาคารมีการเข้าไปซัพพอร์ตและช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ต่าง ๆ ก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย รวมถึงการยืดการชำระหนี้ต่าง ๆ เช่น จาก 3 ปี เพิ่มเป็น 5 ปี
โดยกลุ่มที่เห็นปัญหาต่อเนื่องถือว่ากระจายตัวอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เพราะวันนี้มีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่โควิด-19 เช่น กลุ่มส่งออก กลุ่มสิ่งทอ และหลังจากนี้กลุ่มที่ต้องติดตามมากขึ้น คือ กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก เพราะวันนี้ส่งออกบางส่วนแม้จะยังขายได้ แต่มาจากปัจจัยชั่วคราว จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นกลุ่มเหล่านี้ต้องติดตามใกล้ชิดมากขึ้น
ขณะเดียวกันด้านการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารก็ต้องมีการเข้มงวดมากขึ้น ต่อเนื่องมาตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าแล้ว เหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นผ่านสินเชื่อของทั้งระบบการเงินที่ไม่ได้เติบโต โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สินเชื่ออ่อนแรงลงต่อเนื่อง ดังนั้นหากมองไปถึงสถานการณ์ในระยะข้างหน้ามองว่าน่าจะใกล้เคียงกันภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ไส้ใน บจ.กำไรธุรกิจวูบ 11%
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน SET ไตรมาส 1/2568 มียอดขาย 4,175,056 ล้านบาท ลดลง 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลทำให้ บจ.มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Profit) 406,837 ล้านบาท ลดลง 11.1%
อย่างไรก็ตาม บจ.มีกำไรสุทธิ 261,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เนื่องจาก บจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากตราสารทางการเงินและการลงทุน อีกทั้งกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) มีผลประกอบการดีขึ้น
ขณะที่ฐานะการเงินของกิจการของ บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ สิ้นไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1.51 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ที่ 1.50 เท่า
ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจทั่วไปยังคงเติบโตได้ดี โดยได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก พื้นที่เช่า การบิน และโทรคมนาคม แต่มีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไร
จับตา Q2 ยอดขายทรุด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 1/68 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากยังมีเรื่องของมาตรการ Easy E-Receipt, การแจกเงินดิจิทัลวอลเลตมาช่วยสนับสนุน ด้านกลุ่มสื่อสาร อย่างหุ้น TRUE ที่ขาดทุนลดลง ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ตัวเลขส่งออกยังออกมาดี จากการเร่งนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าเพื่อลดผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1/68 ก็ออกมาดี โต 3.1%
อย่างไรก็ดี แม้ไตรมาส 1/68 งบออกมาดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นไม่ได้มีการปรับขึ้น เนื่องจากมองว่าแนวโน้มไตรมาส 2/68 อาจจะออกมาไม่ดีมากนัก โดยคาดกำไรไตรมาส 2 ชะลอลง QOQ และ YOY ส่วนหนึ่งเพราะเป็นโลว์ซีซั่นวันหยุดเยอะ ขณะที่ภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงจากที่ในไตรมาส 1/68 มีการเร่งตัวแรง ส่งผลให้สินค้าล้นสต๊อกในประเทศคู่ค้า รวมถึงภาคการท่องเที่ยวก็คาดว่าจะชะลอลงเช่นกัน ขณะที่ในส่วนมาตรการกระตุ้นก็ยังไม่มีเข้ามา รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้ไตรมาส 2 กลุ่มพลังงานมีโอกาสเป็น Stock Loss ปัจจัยข้างต้นจึงอาจทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2/68 น่าจะชะลอตัวลง
เบรกลงทุน-คืนหนี้-ปันผลเพิ่ม
นายณัฐพลกล่าวต่อว่า ขณะที่ข้อมูลจะพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีการใช้เงินลงทุน (Investing Cash Flow) ไตรมาสแรกปีนี้ 3.9 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 4.4 แสนล้านบาท แปลว่าบริษัทจดทะเบียนมีการลงทุนลดลงประมาณ 6 หมื่นล้านบาท อาจเป็นเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้อโอกาสการลงทุนลดลง จึงมีการนำเงินไปจ่ายคืนหนี้และจ่ายปันผลมากขึ้น โดยจะเห็นว่ากลุ่มแบงก์มีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นมาก
ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ บจ.เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YOY และเพิ่มขึ้นสูงหากเทียบ QOQ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ากำไร บจ.ไตรมาส 2/68 จะมีการชะลอตัวลง หลายเซ็กเตอร์อาจมีผลงานที่ด้อยลง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยด้านสงครามการค้า มองว่าในไตรมาส 2/68 อาจจะไม่ค่อยเห็นผลกระทบมากนัก ตัวเลขภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดี แต่อาจจะเห็นผลกระทบได้ชัดเจนขึ้นได้ในไตรมาส 3/68 ซึ่งยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาด้วย ว่าจะสามารถเจรจาตกลงกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจรจาได้ก็อาจจะเห็นผลกระทบจากอัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% เช่นกัน
เสถียรภาพการเมืองกระทบ
นายอภิชาติกล่าวว่า แนวโน้มในระยะถัดไปยังมีโอกาสที่จะปรับเป้ากำไรปีนี้ และเป้า SET Index โดยเบื้องต้นประเมินสิ้นปีไว้ที่ 1,337 จุด ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับลง ขณะที่ปัจจัยการเมืองที่ดูเหมือนมีความขัดแย้งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ อาจส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลมีความล่าช้า และการผลักดันโครงการต่าง ๆ อาจจะไม่เห็นผลมากนัก รวมถึงความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐ
“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตลดลงต่อเนื่อง ทำให้เฉลี่ยทั้งปี GDP ไทยอาจโตเพียง 1.6% และคาดว่าจะโตต่ำต่อเนื่องในปี’69 ด้วย ที่คาดว่าจะโตเพียง 1.4% ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนคาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นทิศทางการปรับลง”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แบงก์ชี้ ‘ธุรกิจใหญ่’ ปัญหาโผล่ กังวลสะเทือนทั้งซัพพลายเชน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net