โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

แบงก์ชี้ ‘ธุรกิจใหญ่’ ปัญหาโผล่ กังวลสะเทือนทั้งซัพพลายเชน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 08 มิ.ย. เวลา 00.35 น. • เผยแพร่ 06 มิ.ย. เวลา 23.58 น.

จับตาสัญญาณ “ธุรกิจใหญ่” ออกอาการมากขึ้น “กรุงไทย-กสิกรไทย” ยอมรับปัญหากระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม หวั่นกระทบเป็น “ลูกโซ่” ไปถึงซัพพลายเชน ประธานสมาคมแบงก์ชี้ความหวังอยู่ที่เครื่องยนต์ “ลงทุนรัฐ” ต้องเร่งใช้จ่าย บริษัทในตลาดหุ้น ไตรมาสแรกกำไรดำเนินงานวูบ 11% เบรกลงทุน-เร่งคืนหนี้

ธุรกิจใหญ่เปราะบางมากขึ้น

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยอมรับว่า “ธุรกิจรายใหญ่” ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัว และเปราะบางมากขึ้น ธนาคารจึงต้องมีการเลือก Selective มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว “ความเสี่ยง” ต้องเพิ่มขึ้น และปัญหาวนทั้งซัพพลายเชน เช่น ผู้ส่งออกพยายามเคลียร์สต๊อกในช่วงนี้ ไม่ผลิตใหม่ เพราะขายไม่ได้ ทำให้การผลิตก็ชะลอ นักท่องเที่ยวลด กระทบตัวการบริโภครายย่อย สะท้อนว่าปัญหามันวนเป็นวัฏจักรไปหมด ซึ่งก็ก็ต้องรอการลงทุนภาครัฐ 1.57 แสนล้านบาท จะเป็นไปตามคาดหวังได้หรือไม่

“ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวความเสี่ยงมันเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับหมด เพราะเรายังมีตัว G คือ การลงทุนภาครัฐอยู่ที่ความหวังในช่วงที่เหลือของปี”

จี้รัฐเร่งออกมาตรการสกัด

ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ เป็นช่วงจังหวะที่ต้องมีความระมัดระวังสูง เนื่องจากผลกระทบสามารถลากยาวและลึกได้ ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งออกมาตรการไม่ให้ปัญหาถลำลึกและขยายวงกว้างออกไป โดยจะต้องมีมาตรการประคับประคองเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงที่มีความผันผวนไปได้

ในแง่ของระบบสถาบันการเงินที่มีทรัพยากรจำกัด จึงต้องมีการจัดสรรทรัพยากรให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้เป็น “การหุบร่ม” แต่เป็นการคัดเลือกกลุ่มมากขึ้น (Selective) โดยเน้นการคัดเลือกกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ และสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากแต่ละธนาคารมีพอร์ตและกลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน ซึ่งในจังหวะเศรษฐกิจไม่ดี จำเป็นต้องแยกกลุ่มลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่ต้องประคับประคอง กลุ่มไหนที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งสำคัญ คือ การช่วยลูกค้าเรื่องการเปลี่ยนผ่าน การเสริมทักษะ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นต้น

ปัญหากระจายหลายอุตฯ

สอดคล้องกับนายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ก็ยอมรับว่าพอร์ตลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารมีปัญหาให้เห็นมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นปกติท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทั้งการชำระคืนไม่ได้ การผิดนัดชำระหนี้ต่าง ๆ ที่ธนาคารเริ่มเห็นอาการเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งธนาคารก็มีความเป็นห่วง และที่ผ่านมาธนาคารมีการเข้าไปซัพพอร์ตและช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ต่าง ๆ ก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย รวมถึงการยืดการชำระหนี้ต่าง ๆ เช่น จาก 3 ปี เพิ่มเป็น 5 ปี

โดยกลุ่มที่เห็นปัญหาต่อเนื่องถือว่ากระจายตัวอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เพราะวันนี้มีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่โควิด-19 เช่น กลุ่มส่งออก กลุ่มสิ่งทอ และหลังจากนี้กลุ่มที่ต้องติดตามมากขึ้น คือ กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก เพราะวันนี้ส่งออกบางส่วนแม้จะยังขายได้ แต่มาจากปัจจัยชั่วคราว จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นกลุ่มเหล่านี้ต้องติดตามใกล้ชิดมากขึ้น

ขณะเดียวกันด้านการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารก็ต้องมีการเข้มงวดมากขึ้น ต่อเนื่องมาตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าแล้ว เหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นผ่านสินเชื่อของทั้งระบบการเงินที่ไม่ได้เติบโต โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สินเชื่ออ่อนแรงลงต่อเนื่อง ดังนั้นหากมองไปถึงสถานการณ์ในระยะข้างหน้ามองว่าน่าจะใกล้เคียงกันภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

ไส้ใน บจ.กำไรธุรกิจวูบ 11%

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน SET ไตรมาส 1/2568 มียอดขาย 4,175,056 ล้านบาท ลดลง 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลทำให้ บจ.มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Profit) 406,837 ล้านบาท ลดลง 11.1%

อย่างไรก็ตาม บจ.มีกำไรสุทธิ 261,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เนื่องจาก บจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากตราสารทางการเงินและการลงทุน อีกทั้งกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) มีผลประกอบการดีขึ้น

ขณะที่ฐานะการเงินของกิจการของ บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ สิ้นไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1.51 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ที่ 1.50 เท่า

ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจทั่วไปยังคงเติบโตได้ดี โดยได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก พื้นที่เช่า การบิน และโทรคมนาคม แต่มีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไร

จับตา Q2 ยอดขายทรุด

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 1/68 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากยังมีเรื่องของมาตรการ Easy E-Receipt, การแจกเงินดิจิทัลวอลเลตมาช่วยสนับสนุน ด้านกลุ่มสื่อสาร อย่างหุ้น TRUE ที่ขาดทุนลดลง ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ตัวเลขส่งออกยังออกมาดี จากการเร่งนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าเพื่อลดผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1/68 ก็ออกมาดี โต 3.1%

อย่างไรก็ดี แม้ไตรมาส 1/68 งบออกมาดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นไม่ได้มีการปรับขึ้น เนื่องจากมองว่าแนวโน้มไตรมาส 2/68 อาจจะออกมาไม่ดีมากนัก โดยคาดกำไรไตรมาส 2 ชะลอลง QOQ และ YOY ส่วนหนึ่งเพราะเป็นโลว์ซีซั่นวันหยุดเยอะ ขณะที่ภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงจากที่ในไตรมาส 1/68 มีการเร่งตัวแรง ส่งผลให้สินค้าล้นสต๊อกในประเทศคู่ค้า รวมถึงภาคการท่องเที่ยวก็คาดว่าจะชะลอลงเช่นกัน ขณะที่ในส่วนมาตรการกระตุ้นก็ยังไม่มีเข้ามา รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้ไตรมาส 2 กลุ่มพลังงานมีโอกาสเป็น Stock Loss ปัจจัยข้างต้นจึงอาจทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2/68 น่าจะชะลอตัวลง

เบรกลงทุน-คืนหนี้-ปันผลเพิ่ม

นายณัฐพลกล่าวต่อว่า ขณะที่ข้อมูลจะพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีการใช้เงินลงทุน (Investing Cash Flow) ไตรมาสแรกปีนี้ 3.9 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 4.4 แสนล้านบาท แปลว่าบริษัทจดทะเบียนมีการลงทุนลดลงประมาณ 6 หมื่นล้านบาท อาจเป็นเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้อโอกาสการลงทุนลดลง จึงมีการนำเงินไปจ่ายคืนหนี้และจ่ายปันผลมากขึ้น โดยจะเห็นว่ากลุ่มแบงก์มีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นมาก

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ บจ.เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YOY และเพิ่มขึ้นสูงหากเทียบ QOQ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ากำไร บจ.ไตรมาส 2/68 จะมีการชะลอตัวลง หลายเซ็กเตอร์อาจมีผลงานที่ด้อยลง

อย่างไรก็ดี ปัจจัยด้านสงครามการค้า มองว่าในไตรมาส 2/68 อาจจะไม่ค่อยเห็นผลกระทบมากนัก ตัวเลขภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดี แต่อาจจะเห็นผลกระทบได้ชัดเจนขึ้นได้ในไตรมาส 3/68 ซึ่งยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาด้วย ว่าจะสามารถเจรจาตกลงกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจรจาได้ก็อาจจะเห็นผลกระทบจากอัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% เช่นกัน

เสถียรภาพการเมืองกระทบ

นายอภิชาติกล่าวว่า แนวโน้มในระยะถัดไปยังมีโอกาสที่จะปรับเป้ากำไรปีนี้ และเป้า SET Index โดยเบื้องต้นประเมินสิ้นปีไว้ที่ 1,337 จุด ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับลง ขณะที่ปัจจัยการเมืองที่ดูเหมือนมีความขัดแย้งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ อาจส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลมีความล่าช้า และการผลักดันโครงการต่าง ๆ อาจจะไม่เห็นผลมากนัก รวมถึงความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐ

“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตลดลงต่อเนื่อง ทำให้เฉลี่ยทั้งปี GDP ไทยอาจโตเพียง 1.6% และคาดว่าจะโตต่ำต่อเนื่องในปี’69 ด้วย ที่คาดว่าจะโตเพียง 1.4% ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนคาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นทิศทางการปรับลง”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แบงก์ชี้ ‘ธุรกิจใหญ่’ ปัญหาโผล่ กังวลสะเทือนทั้งซัพพลายเชน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...