โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เกิดใหม่อีกครั้งในยุค 90

นิยาย Dek-D

อัพเดต 17 มี.ค. 2567 เวลา 05.04 น. • เผยแพร่ 17 มี.ค. 2567 เวลา 05.04 น. • เป้าหมายมีไว้กระดึบ
ในอดีตสวีซีเวยตายด้วยวัย 35 ปีด้วยความไม่ยินยอมและชอกช้ำ และในเมื่อเธอมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในวัย 15 ปี เธอจึงไม่ยอมตายแบบไร้ค่าเช่นนั้นอีกแล้ว

ข้อมูลเบื้องต้น

ในชาติก่อนสวีซีเวยถูกหลอกและถูกทำร้ายมาทั้งชีวิตจากคนในครอบครัวและคนรอบข้างโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอมารู้ความจริงว่าถูกหลอก ก็เป็นช่วงเวลาที่เธอไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ก่อนตายเธอจึงภาวนาขอให้เธอได้มีโอกาสกลับมาแก้แค้นคนที่ทำร้ายเธอ และแก้ไขชีวิตแสนบัดซบของเธออีกครั้ง

ไม่รู้ว่าสวรรค์หรือนรกที่เห็นใจ สุดท้ายสวีซีเวยจึงกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในวัย 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของเธอยังไม่เลวร้ายจนเกินไป

ตระกูลสวี

ตระกูลลู่

ตระกูลเสิ่น

ภาวนา

“ซีเวย ตื่นได้แล้วลูก” เสียงหญิงวัยกลางคนร้องเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เมื่อสวีซีเวยถูกปลุกด้วยเสียงเรียกอันอ่อนโยน เธอจึงเริ่มขยี้ตาของตนเองอย่างงัวเงีย พลางคิดในใจด้วยความสงสัย

‘เสียงคุ้นๆนี่เป็นเสียงใครกัน เหมือนฉันเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนมาก่อน’

ส่วนหญิงวัยกลางคนที่ร้องเรียกสวีซีเวย เมื่อเธอเห็นว่าเวลาผ่านไปสักพักแล้ว แต่สวีซีเวยกลับไม่กระตือรือร้นที่จะตื่นขึ้น และเพียงแค่ขยี้ตาของตนเองอย่างงัวเงียอยู่บนฟูกนอนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่น น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เข้มขึ้น

“สวีซีเวย! ทำไมวันนี้ลูกตื่นสายแบบนี้ ตอนนี้จะ 6 โมงครึ่งแล้วนะ ลูกยังไม่ได้เริ่มทำอาหารเช้าเลย เดี๋ยวพ่อกับอี้ชิงตื่นมา ก็ไม่ทันได้ทานอาหารเช้าหรอก”

หลังจากสวีซีเวยได้ยินเสียงของหญิงวัยกลางเอ่ยถึงพ่อของเธอและสวีอี้ชิง เธอก็รีบขยี้ตาแรงๆอีกครั้ง ก่อนเธอจะลืมตาขึ้น แล้วลุกขึ้นนั่งบนฟูกนอนอย่างตกใจ

จากนั้นสวีซีเวยก็หันไปมองหน้าหญิงกลางคนที่ร้องเรียกเธอให้ตื่น แล้วสวีซีเวยก็ต้องตกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเธอเห็นหน้าของหญิงวัยกลางคนคนนั้น เพราะหญิงวัยกลางคนคนนี้คือ ‘เสิ่นลู่’ แม่เลี้ยงของเธอ ซึ่งไม่ควรปรากฏตัวต่อหน้าเธอในเวลานี้

สวีซีเวยจึงมองหน้าเสิ่นลู่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา พลางคิดในใจอย่างสับสน

‘ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่บ้านเดิมล่ะ นี่ฉันไม่ได้ตายไปแล้วเหรอ’

เมื่อเสิ่นลู่เห็นว่าสวีซีเวยตื่นนอนแล้ว และกำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาตกตะลึง เธอก็คิดในใจว่าสวีซีเวยคงตกใจที่วันนี้ตนเองตื่นสายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สวีซีเวยถึงได้มีสีหน้าตกตะลึงเช่นนั้น

จากนั้นเสิ่นลู่ก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง

“ซีเวย ถ้าลูกตื่นนอนแล้ว ก็รีบไปทำอาหารเช้าเถอะ นี่ถ้าแม่ไม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำเวลานี้ วันนี้บ้านเราคงไม่ได้ทานอาหารเช้ากันแล้ว”

หลังจากสวีซีเวยได้ยินประโยคที่เสิ่นลู่เอ่ยขึ้น เธอก็พยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองให้มากที่สุด จากนั้นแววตาตกตะลึงของสวีซีเวยที่จ้องมองเสิ่นลู่ ก็เปลี่ยนเป็นแววตานิ่งๆอย่างอ่านไม่ออก ก่อนเธอจะเอ่ยตอบเสิ่นลู่ด้วยเสียงแผ่วเบา

“ค่ะแม่”

จากนั้นสวีซีเวยก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนจากฟูกนอน แล้วค่อยๆเก็บหมอนลีบแบน ผ้าห่มสีเทาซีด และฟูกนอนเก่าๆของเธอไปไว้ที่มุมห้องเหมือนเช่นเคย แล้วเธอก็เดินตรงไปที่ห้องครัวด้วยแววตาวูบไหว

ส่วนเสิ่นลู่ เมื่อเธอเห็นว่าสวีซีเวยเดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้าแล้ว เธอก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน เพื่อกลับไปนอนต่อ

ส่วนสวีซีเวย หลังจากที่เธอเดินเข้ามาในห้องครัวแล้ว น้ำตาของเธอก็ค่อยๆไหลออกจากมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่

‘ไม่น่าเชื่อ ว่าฉันจะกลับมาได้จริงๆ’

เมื่อสวีซีเวยนึกย้อนไปในความทรงจำสุดท้ายของเธอ ตอนนั้นเธอก็จำได้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนฟูกนอนเก่าๆ ภายในห้องเก็บของภายในบ้านของสามีอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ตอนนั้นเธอเจ็บปวดไปทั้งตัว เนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำ ซึ่งเป็นร่องรอยจากการทำร้ายของสามี ร่างกายของเธอผอมแห้งจนเรียกได้ว่า มีเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น

สวีซีเวยหายใจอย่างแผ่วเบาอยู่บนฟูกนอนด้วยแววตาสิ้นหวัง พลางคิดในใจ

‘วันนี้ฉันคงไม่รอดแล้ว ตายๆไปก็ดีเหมือนกัน อยู่ไปก็เหมือนตายทั้งเป็น’

แต่แล้วเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น

แอ๊ดด

จากนั้นหญิงชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องด้วยแววตารังเกียจ พลางเอามือปิดจมูกเนื่องจากได้กลิ่นเน่าเหม็นบางอย่างภายในห้อง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ

“นี่นังซีเวย! ใจคอแกจะเอาแต่นอนอย่างเดียวรึไง รู้ไหมว่านี่มันกี่โมง กี่ยามแล้ว แกรีบออกไปทำอาหารเย็นได้แล้ว! ตอนนี้อาเซวียนใกล้จะกลับมาจากตลาดแล้วนะ”

เมื่อสวีซีเวยได้ยินประโยคที่หญิงชราเอ่ยขึ้น เธอก็หันไปมองหญิงชราด้วยแววตาว่างเปล่า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไปแม้แต่คำเดียว

ส่วนหญิงชรา เมื่อเธอเห็นว่าสวีซีเวยเอาแต่จ้องหน้าเธอด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับมา และสวีซีเวยก็ยังไม่มีท่าทีที่จะลุกขึ้นมาทำอาหารเหมือนกับทุกครั้ง หญิงชราก็เริ่มโมโห ก่อนจะตะคอกใส่สวีซีเวยเสียงดัง

“นังซีเวย! แกกล้ามากนะที่มาจ้องหน้าฉัน แกอยากโดนดีใช่ไหม!”

เมื่อหญิงชราพูดจบ เธอก็เดินเข้ามาใกล้สวีซีเวย และตั้งใจจะตบสั่งสอนสวีซีเวยสักฉาดให้หลาบจำ แต่เมื่อหญิงชราเดินเข้ามาใกล้สวีซีเวย เธอก็ได้เห็นแววตาชิงชังจากสวีซีเวย หญิงชราจึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาครู่หนึ่ง จนเผลอยั้งมือข้างที่จะตบสวีซีเวยไว้

จากนั้นหญิงชราก็เริ่มได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นจากตัวของสวีซีเวย เธอจึงรีบยกมือขึ้นปิดจมูก พลางเอ่ยอย่างรังเกียจเดียดฉันท์

“นี่นังซีเวย! ทำไมตัวแกถึงได้เน่าเหม็นขนาดนี้ ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นกลิ่นหนูตายในห้องซะอีก นี่แกไม่อาบน้ำบ้างรึไง ไหนปกติแกรักษาความสะอาดจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ!”

เมื่อสวีซีเวยเห็นหญิงชราปิดจมูกอย่างรังเกียจ เธอก็เอาแต่หัวเราะและจ้องมองหญิงชราอย่างบ้าคลั่ง แลดูคล้ายกับคนเสียสติ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆๆๆ”

หลังจากหญิงชราเห็นสวีซีเวยหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เธอก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอจึงแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ

“นังสวีซีเวย! แกหัวเราะไปเถอะ เดี๋ยวถ้าอาเซวียนกลับมา ฉันจะให้เขามาจัดการกับแก”

จากนั้นหญิงชราก็เดินออกจากห้องไป

ส่วนสวีซีเวย เธอก็มองตามหญิงชราที่เดินออกจากห้องไปด้วยแววตาชิงชัง หญิงชราคนนี้เป็นใครน่ะเหรอ หญิงชราคนนี้ก็คือแม่สามีของเธอ ‘ชุยฝู’ แม่สามีจอมบงการ ที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ฉันทำ และคอยชี้นิ้วสั่งให้ฉันทำทุกอย่าง โดยที่ตัวเองนั่งกระดิกเท้ามองดูอยู่เฉยๆ

ขนาดตอนนี้ฉันป่วยใกล้จะตายแล้ว ชุยฝูคนนี้ก็ยังไม่คิดจะมาดูดำดูดี หรือเอ่ยถามถึงอาการป่วยของฉันสักนิด แล้วยังมีหน้ามาสั่งให้ฉันไปทำอาหารเย็นให้กับลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวของเธออีก ซึ่งลูกชายที่ชุยฝูรักปานดวงใจคนนั้นคือ ‘เหลียนเซวียน’

เมื่อพูดถึงสามีคนนี้แล้ว ในใจสวีซีเวยก็ยิ่งรู้สึกขมขื่นปนชิงชัง ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่น่าเกียจทั้งภายในและภายนอกอย่างแท้จริง นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาแสนอัปลักษณ์ นิสัยใจคอยังเลวทรามอย่างที่เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจอ

เมื่อก่อนตอนที่เธอยังสาวยังสวย เขาร่วมรักกับเธออย่างทารุณและวิตถาร จนร่างกายของเธอรับแทบไม่ไหว นอกจากนั้นเมื่อเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ เขาก็มักจะลงมือซ้อมเธออย่างทารุณ จนสวีซีเวยเริ่มป่วยทั้งกายและใจ

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง สวีซีเวยเกิดตั้งท้องขึ้นมา ตอนแรกเธอดีใจอย่างสุดซึ้งที่โลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ กำลังจะมีคนที่มาอยู่เคียงข้างเธอ คนที่เป็นดั่งความหวังให้เธอได้มีชีวิตอยู่ต่อ

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสวีซีเวยจะตั้งท้อง เธอก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวของสามีเลย เธอต้องทำงานอย่างหนักทั้งภายในบ้านและภายนอกบ้านดั่งเดิม และตอนที่เธอเธอตั้งครรภ์แรกๆ เธอไม่สามารถร่วมรักกับเหลียนเซวียนได้ ทำให้เหลียนเซวียนไม่พอใจ เขาจึงลงมือลงไม้กับเธอ จนสุดท้ายเธอก็ตกเลือดและแท้งลูกไป

หลังจากสวีซีเวยแท้งลูกแล้ว เธอก็ไม่ได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสม เพราะถึงแม้ว่าครอบครัวของสามีจะพอมีฐานะ แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่ใช้เงินเหล่านั้นเพื่อดูแลรักษาเธอ

แม้แต่เงินเดือนจากการไปทำงานที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูของเธอ เธอต้องมอบให้แก่แม่สามีแต่เพียงผู้เดียว เธอไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เงินเหล่านั้นเลย หลังจากเธอก็เริ่มป่วยออดๆแอดๆมากขึ้น

ต่อจากนั้นมา สวีซีเวยก็ยังคงทำงานอย่างหนักทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน และรองรับอารมณ์ของเหลียนเซวียนทุกทาง จนร่างกายของเธอเริ่มทรุดโทรม และไม่งดงามเหมือนอย่างเก่า ซึ่งดูเหมือนว่าสวีซีเวยจะดูแก่ตัวมากกว่าอายุจริงขึ้นทุกวัน

ดังนั้นเหลียนเซวียน คนเลวเช่นนั้น จึงเริ่มมีผู้หญิงคนใหม่ไม่ซ้ำหน้านอกบ้าน แล้วยิ่งตอนหลังเหลียนเซวียนยังพาผู้หญิงคนใหม่มาร่วมรักถึงในบ้านด้วยซ้ำไป ทำให้สวีซีเวยรู้สึกเจ็บปวดและช้ำใจ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สวีซีเวยที่หมดซึ่งความงดงามของหญิงสาว จึงเป็นเพียงแค่คนรับใช้ภายในบ้านเท่านั้น เธอต้องรับใช้คนในบ้านสามีทุกคน นอกจากเธอจะต้องคอยรับใช้เหลียนเซวียน และชุยฝูแล้ว

เธอยังต้องคอยรับใช้พ่อสามี ‘เหลียนเหมียน’ น้องสาวของสามี ‘เหลียนเซียง’ รวมถึงผู้หญิงคนใหม่ที่เหลียนเซวียนมักพามาร่วมรักที่บ้านด้วย

เมื่อสวีซีเวยนึกถึงสาเหตุที่เธอต้องมาแต่งงานให้แก่เหลียนเซวียน ชายที่น่าเกียจคนนี้แล้ว ในใจสวีซีเวยที่เริ่มปล่อยวางก็เริ่มรู้สึกเครียดแค้นและชิงชังขึ้นมา

‘ทำไมคนที่ทำร้ายฉัน ถึงได้มีความสุขกันหมด!’

จากนั้นน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำของสวีซีเวยด้วยความคับแค้นใจ แม้เสียงเต้นของหัวใจของสวีซีเวยจะเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ แต่ภายในใจของเธอกลับรู้สึกเครียดแค้นจนแทบทนไม่ไหว

‘นี่สวรรค์มีจริงไหม ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรม! ฉันไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมฉันถึงได้มีจุดจบเช่นนี้! แบบนี้สวรรค์คงไม่มีจริงหรอก ฮึกก’

ถึงแม้ภายในใจของสวีซีเวยจะเครียดแค้นแค่ไหน แต่ร่างกายของเธอกลับเริ่มไม่ตอบสนองแล้ว

จากนั้นสวีซีเวยก็เริ่มภาวนาด้วยความเครียดแค้นในเฮือกสุดท้ายของชีวิต

‘ถ้าสวรรค์ไม่มีจริง นรกคงมีจริงใช่ไหม! ฉันขอกลับไป ฉันอยากกลับไป!’

‘ต่อให้หลังจากนั้น ฉันต้องตกนรกขุมที่เท่าไหร่ ฉันก็ยอม แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นเสวยสุขบนความทุกข์ของฉันอีกแล้ว! ให้ฉันกลับไปเถอะ ฉันไม่อยากตายอย่างไร้ค่าแบบนี้…’

เมื่อสิ้นเสียงภาวนาในใจสุดท้ายของสวีซีเวย ลมหายใจแผ่วเบาของเธอก็ดับลง แต่ดวงตาของเธอกลับเบิกโพลง อย่างคนตายตาไม่หลับ

แต่ก่อนที่ลมหายใจของสวีซีเวยจะดับลง ภายในห้องเก็บของเก่ากลับปรากฏชายร่างใหญ่ผิวสีแดงที่กำลังถอนหายใจมองดูสวีซีเวยอย่างเวทนา


เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

ชอบนิยายเรื่องนี้ ช่วยกดติดตาม และกดกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^^

ครอบครัว

หลังจากสวีซีเวยนึกย้อนไปถึงความทรงจำสุดท้ายของเธอ ภายใต้น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตา กลับมีรอยยิ้มดีใจปรากฏอยู่บนใบหน้า

‘สิ่งที่ฉันขอก่อนตาย ตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว ถึงตอนนี้ฉันจะไม่รู้ว่าฉันย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ในช่วงเวลาไหน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องเป็นช่วงเวลาก่อนที่สวีอี้ชิงจะแต่งงานออกจากบ้านเดิมไปแน่’

‘ฉันไม่รู้ว่าสวรรค์หรือนรกที่เห็นใจฉัน แต่ฉันจะไม่ยอมตายอย่างไร้ค่าแบบนั้นแล้ว คนที่ทำร้ายฉันต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำ’

เมื่อสวีซีเวยตั้งใจมั่นในใจแล้ว เธอก็เริ่มทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆด้วยความเคยชิน เพราะไม่ว่าจะเป็นที่บ้านเดิมแห่งนี้ หรือบ้านของสามีในอดีต เธอก็คือคนทำอาหารของสถานที่เหล่านั้นเสมอ เรียกได้ว่าทำอาหารมาทั้งชีวิต ตั้งแต่เธอเริ่มจำความได้

เพราะตั้งแต่เธออายุ 7 ปี แม่เลี้ยงของเธอ ‘เสิ่นลู่’ ก็พูดจาหว่านล้อมให้เธอทั้งทำอาหารและทำงานบ้านมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอโตแล้วต้องแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ และน้องสาวต่างแม่ หรือ ‘สวีอี้ชิง’ ก็ยังเด็กอยู่ ทั้งๆที่สวีอี้ชิงก็อายุน้อยกว่าเธอเพียง 1 ปีเท่านั้น

แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็น 10 ปีแล้ว หน้าที่การทำอาหาร และการทำงานบ้านกลับเป็นหน้าที่ของสวีซีเวยเสมอมา นึกๆไปแล้วสิ่งที่เสิ่นลู่พูดช่างย้อนแย้งจริงๆ แต่เธอในตอนนั้นกลับเชื่ออย่างสนิทใจ อาจจะด้วยความซื่อจนโง่ของเธอ หรือการมองโลกในแง่ดีที่เชื่อว่า ถ้าเธอทำดีกับคนอื่น คนอื่นก็จะทำดีกับเธอ หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าในใจลึกๆเธอกลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่รักเธอก็ได้

เพราะแม่ของเธอ ‘ลู่จิ้น’ จากไปตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นเสิ่นลู่ก็เข้ามาในชีวิตของเธอในฐานะแม่เลี้ยง พร้อมมักจะเอ่ยถึงเรื่องบุญคุณที่เสิ่นลู่เคยเลี้ยงดูเธอตอนเด็กเสมอ ซึ่งแท้จริงแล้วเสิ่นลู่แค่ช่วยเลี้ยงดูเธอในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่คนที่เลี้ยงดูเธออย่างแท้จริงคือคุณย่าของเธอ ‘เฉินเชียนอวี่’ ที่จากไปตั้งแต่เธออายุได้เพียง 7 ปี

ส่วนคุณปู่ ‘สวีซ่านต้าว’ ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะท่านจากไปตั้งแต่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป

สำหรับอาหารเช้าวันนี้ สวีซีเวยทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆที่เป็นเพียงโจ๊กหมูสับ ซึ่งถึงจะเรียกว่าโจ๊กหมูสับ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงโจ๊กผสมเศษหมูที่ซื้อจากตลาดเท่านั้น นอกจากนี้เครื่องเคียงยังเป็นเพียงแค่ยำผัดกาดดอง หรือยําเกี้ยมฉ่ายง่ายๆเท่านั้น

อาหารที่บ้านเดิม มักจะเป็นอาหารง่ายๆที่มีราคาไม่แพงมากเท่านั้น เพราะอาชีพของคนในบ้านล้วนเป็นพนักงานธรรมดาในโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งมีรายได้ต่อเดือนไม่ได้มากนัก พวกเขาถึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านเท่าที่ทำได้

‘สวีเหมิง’ พ่อของเธอสวีซีเวยเป็นเพียงพนักงานฝ่ายผลิตชำนาญการในโรงงานอาหารกระป๋อง ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานที่โรงงานแห่งนี้มามากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม

ส่วนเสิ่นลู่ แม่เลี้ยงของสวีซีเวยก็ทำงานที่โรงงานอาหารกระป๋องเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างก็ตรงที่เสิ่นลู่ทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายตรวจสอบคุณภาพชำนาญการ ซึ่งทั้งคู่ก็มีรายได้ไม่แตกต่างกันมากนักอยู่ที่ประมาณ 30 หยวนต่อเดือน ขึ้นอยู่ว่าเดือนนั้นๆที่โรงงานจะมีการทำงานล่วงเวลามากน้อยเพียงใด

สำหรับสวีซีเวย เธอก็ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเช่นกัน แต่เป็นโรงงานเชือดและตัดแต่งหมู เธอไม่ได้ทำงานโรงงานที่เดียวกับสวีเหมิงและเสิ่นลู่ เนื่องจากช่วงเวลาที่สวีซีเวยกำลังเรียนจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และเริ่มหางานทำนั้น มีเพียงโรงงานเชือดและตัดแต่งหมูแห่งนี้ที่กำลังรับพนักงานฝ่ายผลิตอยู่พอดี ซึ่งตอนที่สวีซีเวยเริ่มงานใหม่ๆ เธอมีรายได้ประมาณ 20 หยวนต่อเดือน

แต่ตอนนี้สวีซีเวยไม่แน่ใจว่าเธอย้อนกลับมาในช่วงเวลาไหน แต่รายได้ก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะการทำงานผ่านไปปีๆหนึ่ง โรงงานก็เพิ่มเงินเดือนให้ประมาณ 1 เหมาเท่านั้น

ส่วนลูกสาวต่างแม่ หรือ สวีอี้ชิง ในชาติที่แล้วหลังจากที่สวีอี้ชิงเรียนจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเธอก็ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายผลิตที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูเช่นเดียวกับสวีซีเวย

หลังจากสวีซีเวยทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอจึงนำโจ๊กหมูและยำเกี้ยมฉ่ายไปจัดวางบนโต๊ะอาหารที่อยู่ภายในห้องครัว เพื่อรอให้คนในครอบครัวสวีมาทานอาหารเช้า

เมื่อสวีซีเวยจัดวางอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินไปดูปฏิทินแขวนผนังที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่น ซึ่งกำลังบ่งบอกช่วงเวลาว่า เธอกำลังอยู่ในช่วงเดือนที่ 6 ของปีคริสต์ศักราช 1993 ทำให้สวีซีเวยได้ทราบว่าตอนนี้เธอกำลังอายุได้เพียง 15 ปี และเป็นช่วงที่เธอกำลังทำงานที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูได้เกือบครึ่งปี

ดังนั้นตอนนี้สวีอี้ชิงยังไม่ได้ไปเริ่มทำงานที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมู เพราะสวีอี้ชิงยังคงเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีสุดท้าย

เมื่อสวีซีเวยเห็นว่าเธอกลับมาเกิดใหม่ในช่วงเวลานี้ รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของสวีซีเวย

จากนั้นสวีซีเวยก็เงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาที่แหวนอยู่บนผนังห้องนั่งเล่น ซึ่งกำลังบอกเวลา 7 โมง 5 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มสายแล้ว เธอควรจะต้องรีบไปอาบน้ำแล้ว เพื่อเตรียมตัวไปทำงานวันนี้แล้ว

สวีซีเวยจึงรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้า และผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าเล็กๆของเธอที่อยู่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายทันที

สาเหตุที่ตู้เสื้อผ้าของสวีซีเวยอยู่ในห้องนั่งเล่น ก็เป็นเพราะว่าสวีซีเวยไม่มีห้องนอนส่วนตัว เธอจึงต้องหลับนอนและอาศัยอยู่ที่ห้องนั่งเล่นของที่บ้าน

ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าบ้าน แต่แท้จริงแล้วที่นี่เป็นเพียงห้องชุดเก่าๆ ที่ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้อง และห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น อย่างละ 1 ห้องเท่านั้น ซึ่งห้องนอน 2 ห้องนั้น แน่นอนว่าห้องแรกต้องเป็นของสวีเหมิงและเสิ่นลู่ ส่วนห้องสุดท้ายเป็นของสวีอี้ชิง

ที่จริงแล้วเมื่อก่อนสวีซีเวยและสวีอี้ชิงก็เคยอาศัยอยู่ในห้องนอนเดียวกัน แต่พอสวีอี้ชิงอายุได้ 12 ปี เธอก็ให้เหตุผลว่าห้องนอนคับแคบ ทำให้ไม่สามารถนอนรวมกัน 2 คนได้ และเธอโตแล้วต้องการความเป็นส่วนตัว

ดังนั้นสวีซีเวยที่ถูกหลอกล่อด้วยเหตุผลว่า ‘พี่ต้องเสียสละให้น้อง’ จากเสิ่นลู่ ทำให้ตั้งแต่นั้นมาสวีซีเวยจึงต้องเสียสละออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นแทน แต่ตอนนี้สวีซีเวยกลับคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน เพราะเธอก็ไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับคนใจบาปเช่นนั้นเหมือนกัน

หลังจากสวีซีเวยอาบน้ำและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอก็นำผ้าเช็ดตัวไปตากที่ระเบียงห้องชุด แล้วเดินไปที่ห้องครัวเพื่อรับประทานอาหารเช้า

เมื่อสวีซีเวยเดินมาถึงห้องครัวแล้ว เธอก็พบกับทุกคนในครอบครัวของเธอที่กำลังรับประทานอาหารเช้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข ซึ่งสวีซีเวยได้แต่มองภาพนั้นด้วยแววตาว่างเปล่า

เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่า เธอก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ แต่หลังจากที่เธอได้ตายไปครั้งหนึ่ง คำว่าครอบครัวก็เปรียบเสมือนเรื่องตลกของเธอ

‘คนพวกนี้ไม่ใช่ครอบครัวหรอก เป็นแค่ศัตรูภายใต้รอยยิ้มที่อ่อนโยนมากกว่า’

จากนั้นสวีซีเวยก็ได้ยินเสียงสวีอี้ชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเอาใจ พร้อมทั้งยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้แก่สวีเหมิง

“พ่อคะ นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่ฉันปักเองค่ะ มันอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ฉันก็ตั้งใจปักให้พ่อเลยนะคะ”

เมื่อสวีเหมิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าจากมือของสวีอี้ชิงด้วยรอยยิ้มกว้าง พร้อมสำรวจดูผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะเอ่ยด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู

“อี้ชิง ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกหลันฮวาของลูกจะไม่สวยได้ยังไง พ่อไม่เคยได้รับผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายสวยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต”

หลังจากสวีซีเวยได้ยินเสียงสวีเหมิงเอ่ยชมผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกหลันฮวาของสวีอี้ชิง เธอก็ได้แต่แค่นยิ้มออกมา

‘ไม่ว่าเรื่องไหนที่สวีอี้ชิงทำ พ่อก็มักจะเห็นดีเห็นงามเสมอ ต่างกับฉันที่ทำงานเป็นทาสรับใช้ที่บ้านทุกอย่าง แต่ไม่เคยได้รับคำชมจากพ่อเลยสักครั้ง เหมือนทุกอย่างที่ฉันทำ มันคือหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว’

ส่วนเสิ่นลู่ หลังจากที่เธอได้ยินสวีเหมิงเอ่ยชมเชยสวีอี้ชิง ลูกสาวของเธอเช่นนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกเป็นสุขจริงๆ แต่แล้วเธอเหลือบไปเห็นสวีซีเวยที่กำลังยืนมองพวกเธออยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นลู่ก็ค่อยๆเลือนหายไป พร้อมในใจที่รู้สึกหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว

‘นังเด็กนี่ เป็นมารผจญจริงๆ ถ้าไม่มีมันกับแม่มันสักคน ตอนนี้ครอบครัวของเราก็คงเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไปแล้ว และฉันก็คงไม่ต้องถูกเรียกว่าเป็นเมียคนที่ 2 แบบนี้’

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง เสิ่นลู่ก็เริ่มปรับอารมณ์ของตนเอง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ซีเวย ลูกยืนอยู่ทำไม รีบมากินข้าวสิ โจ๊กยังร้อนๆอยู่เลย”

เมื่อสวีซีเวยได้ยินเสิ่นลู่เรียกเธอไปทานอาหาร ใบหน้าของสวีซีเวยก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆออกมาเช่นกัน

“ค่ะแม่”

จากนั้นสวีซีเวยก็เริ่มรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับคนในครอบครัวตามปกติ แต่หลังจากสวีซีเวยมานั่งทานอาหารร่วมกับคนในครอบครัว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับดูไม่ได้อบอุ่นเหมือนกับตอนแรก ทำให้สวีซีเวยที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้ตัว ตอนนี้เธอรู้สึกสมเพชตัวเองจริงๆ

‘ฉันเป็นส่วนเกินมาตั้งนานแล้ว แค่ฉันไม่เคยรู้ตัว’


**แปลคำคัพท์

ดอกหลันฮวา: ดอกกล้วยไม้

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

ชอบนิยายเรื่องนี้ ช่วยกดติดตาม และกดกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^^

คนรัก

หลังจากสวีซีเวยและคนในครอบครัวรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว สวีเหมิงและเสิ่นลู่ก็เริ่มเดินทางออกจากบ้าน เพื่อเดินทางไปทำงานที่โรงงานอาหารกระป๋อง

ส่วนสวีอี้ชิงก็เริ่มเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นเช่นกัน

สำหรับสวีซีเวยแล้ว เธอไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงานพร้อมกับคนอื่นๆได้ เพราะเธอมีหน้าที่ต้องเก็บโต๊ะอาหาร และล้างจานก่อนที่เธอจะเริ่มเดินทางออกจากบ้านไปทำงาน

แม้ตอนนี้ในใจของสวีซีเวยจะไม่อยากคอยรับใช้คนในครอบครัวแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถเลี่ยงได้ ตอนนี้เธอต้องทำตัวตามปกติไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มีใครผิดสังเกต หลังจากนั้นเธอค่อยหาวิธีออกไปจากบ้านหลังนี้

เมื่อสวีซีเวยล้างจานเสร็จแล้ว เธอก็เริ่มเดินทางออกจากบ้านไปเพื่อทำงานที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูทันที เพราะถ้าเธอไม่รีบออกจากบ้านตอนนี้ วันนี้เธอก็คงไปทำงานสายและต้องถูกหักเงินเดือนเป็นแน่

โดยวิธีการเดินทางไปทำงานของสวีซีเวย เริ่มจากเธอต้องเดินเท้าออกจากไปบ้านประมาณ 800 เมตร เพื่อไปขึ้นรถรับส่งของโรงงานที่จุดขึ้นรถใกล้กับบ้านของเธอ

เนื่องจากในปัจจุบันโรงงานแต่ละแห่ง มีความต้องการในการรับพนักงานมาทำงานในโรงงานมากขึ้น ดังนั้นทางโรงงานส่วนใหญ่จึงมีสวัสดิการรถรับส่งให้แก่พนักงานด้วย ซึ่งโรงงานเชือดและตัดแต่งหมู รวมถึงโรงงานอาหารกระป๋องก็เป็นโรงงานส่วนใหญ่ที่ให้สวัสดิการรถรับส่งแก่พนักงาน เพียงแต่จุดขึ้นรถรับส่งของแต่ละโรงงานจะแตกต่างกันออกไป

ซึ่งเสิ่นลู่ก็ให้เหตุผลในการไม่ช่วยสวีซีเวยเก็บโต๊ะอาหารและล้างจานว่า

‘จุดขึ้นรถรับส่งของโรงงานแม่อยู่ไกลกว่าโรงงานลูก ยังไงแม่รบกวนซีเวยช่วยเก็บโต๊ะอาหารด้วยนะจ๊ะ’

แม้ว่าแท้จริงแล้ว จุดขึ้นรถของโรงงานอาหารกระป๋องจะอยู่ไกลกว่าโรงงานเชือดและตัดแต่งหมูเพียง 200 เมตรเท่านั้น แต่สวีซีเวยที่ก่อนหน้านั้นทำหน้าที่นี้ิอยู่แล้ว ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเรื่องนี้

ส่วนสวีอี้ชิง เหตุผลที่เธอไม่ช่วยล้างจานก็เป็นเพราะว่าเธอต้องรีบไปโรงเรียน เพื่อทบทวนหนังสือก่อนเรียน ทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนสวีซีเวยยังเรียนหนังสืออยู่ สวีอี้ชิงก็อ้างเหตุผลต่างนานาที่จะไม่ช่วยทำงานบ้านอยู่ดี

เมื่อสวีซีเวยเดินมาใกล้ถึงจุดขึ้นรถรับส่งของโรงงานเชือดและตัดแต่งหมูแล้ว เธอก็พบเหล่าพนักงานหลายสิบคนที่ที่กำลังยืนต่อแถวรอขึ้นรถรับส่งอยู่

จากนั้นสวีซีเวยจึงตั้งใจจะเดินเข้าไปเพื่อต่อแถว แต่ในระหว่างที่เธอกำลังเดินเข้าไปต่อแถวนั้น ก็มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ซีเวย วันนี้ทำไมเธอมาช้าล่ะ ฉันมารอเธอตั้งนานแล้ว”

เมื่อสวีซีเวยหันไปมองตามเสียงเรียก เธอก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกแถวขี้นรถรับส่ง ซึ่งเธอบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกับเขา

ถ้าจะบอกว่าเธอเกลียดเขา มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถ้าไม่ให้เธอรู้สึกเกลียดเขาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนทำลายชีวิตเธอ แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอเลวร้าย

แต่ถ้าจะให้บอกว่าเธอรักเขา มันก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว ผู้หญิงที่ผ่านความชอกช้ำและความตายมาครั้งหนึ่งอย่างเธอ ไม่คาดหวังกับความรักแสนบริสุทธิ์อะไรพวกนั้นอีกแล้ว

นอกจากนี้เธอยังรู้สึกรังเกียจเขาอยู่ไม่น้อยอีกด้วย เธอไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้เธออีกแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังคิดหาทางออกของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นเธอควรทำตัวตามปกติไปก่อน

ผู้ชายที่เธอกล่าวถึงคนนี้คือ ‘เถียนซื่ออัน’ คนรักคนปัจจุบันของเธอ ซึ่งเพิ่งคบกันได้ราวๆ 3 เดือน พวกเธอรู้จักกันที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูแห่งนี้ได้ 3 เดือน หลังจากนั้นพวกเธอก็เริ่มคบหากันด้วยหัวใจที่พองโต

ตอนแรกสวีซีเวยชื่นชอบเถียนซื่ออันมาก เพราะเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี นิสัยดี ฐานะทางครอบครัวก็ดีไม่น้อย พ่อของเถียนซื่ออัน ‘เถียนเช่า’ ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าพนักงานผลิต แผนกเชือดหมูที่โรงงานเชือดและตัดแต่งหมูแห่งนี้

ส่วนแม่ของเถียนซื่ออัน ‘ซุนโถว’ ก็ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าพนักงานตรวจสอบคุณภาพ แผนกเชือดหมูในโรงงานนี้เช่นกัน

ซึ่งการเป็นหัวหน้าพนักงานนี้ ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นกันง่ายๆเลย เพราะขนาดสวีเหมิงทำงานในโรงงานมากกว่า 20 ปี เขายังเป็นเพียงพนักงานชำนาญการเท่านั้น การขึ้นเป็นหัวหน้าพนักงานนอกจากจะใช้ประสบการณ์ความชำนาญในสายงานแล้ว ยังต้องใช้เส้นสายอีกด้วย

เมื่อเถียนซื่ออันมีพ่อแม่เป็นถึงหัวหน้าพนักงาน ก็ไม่แปลกอะไรที่ครอบครัวของเขาจะมีฐานะมากกว่าพนักงานคนอื่นๆ นอกจากนี้เถียนเช่า และซุนโถวก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีมากๆ

ในเมื่อเถียนซื่ออันเพียบพร้อมขนาดนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่สวีซีเวยจะตกหลุมรักเถียนซื่ออันเลย

แต่เพราะเถียนซื่ออันเพียบพร้อมขนาดนี้นั้นแหละ จึงเป็นสาเหตุให้สวีอี้ชิงตกหลุมรักเถียนซื่ออันเช่นกัน หลังจากนั้นชีวิตของสวีซีเวยก็เลวร้ายขึ้นอย่างที่เธอคาดไม่ถึง

สวีซีเวยจ้องหน้าเถียนซื่ออันด้วยแววตาสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ซื่ออัน ขอโทษที่ทำให้เธอรอนานนะ วันนี้ฉันตื่นสายน่ะ ก็เลยมาขึ้นรถช้าหน่อย”

เมื่อเถียนซื่ออันได้ยินสวีซีเวยเอ่ยปากขอโทษเขา เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“ซีเวย ขอโทษทำไมกัน ต่อให้ฉันรอเธอเป็นชั่วโมง ฉันก็รอได้”

สวีซีเวยที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าธรรมชาติ

“อื้ม ซื่ออัน งั้นพวกเรารีบไปต่อแถวขึ้นรถกันเถอะ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย”

จากนั้นสวีซีเวยและเถียนซื่ออันก็เดินไปต่อแถว เพื่อรอขึ้นรถรับส่งไปทำงาน และในระหว่างที่พวกเขาต่อแถวอยู่นั้น เถียนซื่ออันก็ชวนสวีซีเวยพูดคุยตามปกติ แต่น่าเสียดายที่แม้ภายนอกสวีซีเวยจะตอบกลับเถียนซื่ออันด้วยรอยยิ้ม

แต่ภายในใจของสวีซีเวยช่างรู้สึกเฉยชาเหลือเกิน เธอไม่ใช่หญิงสาววัยใสที่รู้สึกใจเต้นแรงง่ายๆแบบนั้นแล้ว และเถียนซื่ออันยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอเลวร้ายอีกด้วย

หลังจากสวีซีเวยและเถียนซื่ออันเดินทางมาถึงโรงงานเชือดและตัดแต่งหมูแล้ว พวกเขาก็ไปรูดบัตรเพื่อเข้าทำงาน แล้วแยกย้ายกันไปทำงานตามแผนกของตัวเอง เถียนซื่ออันทำงานอยู่แผนกเชือดเช่นเดียวกับพ่อแม่ของเขา ส่วนสวีซีเวยทำงานในแผนกตัดแต่งหมู

เมื่อสวีซีเวยเดินทางมาถึงแผนกตัดแต่งหมูแล้ว เธอก็เริ่มต้นทำงานวันนี้ทันที โดยสวีซีเวยมีหน้าที่ตัดแต่งเนื้อหมูให้เป็นชิ้นตามขนาด และรูปแบบที่ลูกค้าสั่งซื้อ

และในระหว่างที่สวีซีเวยกำลังทำงานอยู่นั้น ก็มีหญิงสาวผมยาวอายุไล่เลี่ยกับสวีซีเวยเดินเข้ามาทักเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ซีเวย เธอมาแล้วเหรอ”

หลังจากสวีซีเวยได้ยินเสียงเอ่ยทัก เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วพบกับ ‘จางเข่อซิง’ เพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจนกระทั่งพวกเธอได้มาทำงานที่โรงงานเดียวกัน

เมื่อสวีซีเวยเห็นหน้าจางเข่อซิง แววตานิ่งๆของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววตาสั่นไหว เพราะเมื่อชาติที่แล้วจางเข่อซิงคนนี้ค่อยเตือนเธอเรื่องสวีอี้ชิงอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น

‘ซีเวย ฉันว่าสวีอี้ชิงต้องชอบซื่ออันแน่ๆ ตอนพักกลางวันฉันเห็นสวีอี้ชิงนำผ้าเช็ดหน้าปักลายไปให้ซื่ออันด้วย’

‘ซีเวย วันก่อนฉันเห็นสวีอี้ชิงนั่งซบไหล่ซื่ออันที่สวนหลังโรงงาน ฉันว่าแบบนี้มันไม่ปกติแล้วนะ’

แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นสวีซีเวยเชื่อใจสวีอี้ชิงและเถียนซื่ออันอย่างสุดหัวใจ เธอไม่เคยเชื่อสิ่งที่จางเข่อซิงบอกเลย เพราะเมื่อเธอไปถามเรื่องราวจากคนสองคนนั้น พวกเขาก็ต่างบอกว่าพวกเขาบริสุทธิ์ใจและไม่ได้คิดอะไรเกินเลย

ทำให้หลังจากนั้นมา สวีซีเวยตัดสินใจตีตัวออกห่างจากจางเข่อซิง เพื่อนที่จริงใจกับเธอที่สุด เพราะเชื่อคำพูดของสวีอี้ชิงที่บอกว่า

‘พี่ซีเวย ฉันคิดว่าพี่จางเข่อซิง เพื่อนสนิทของพี่ ต้องแอบชอบพี่ซื่ออันแน่ๆ ไม่งั้นเธอจะมาคอยใส่ร้ายฉัน และทำให้พี่ผิดใจกับพี่ซื่ออันทำไม’

ด้วยความเชื่อใจน้องสาว สวีซีเวยจึงเชื่อคำพูดของสวีอี้ชิงอย่างสนิทใจ และตัดสินใจเลิกคบกับจางเข่อซิง

แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตจางเข่อซิง ก็ไม่ได้มีชะตาชีวิตที่ดีกว่าสวีซีเวยนักหรอก เพราะจางเข่อซิงก็ได้สามีแสนเลวทรามไม่ต่างกับเธอเท่าไหร่

ในเมื่อครั้งนี้สวีซีเวยมีโอกาสได้กลับมาแก้ไขชีวิตอันเลวร้ายของเธอ เธอก็ตั้งใจรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอและจางเข่อซิงเอาไว้ และช่วยจางเข่อซิงเท่าที่เธอจะทำได้

เมื่อจางเข่อซิงเห็นสวีซีเวยมองหน้าเธออยู่นาน แต่กลับไม่ได้ตอบกลับอะไรกลับมา จางเข่อซิงจึงเอ่ยถามสวีซีเวยด้วยความสงสัย

“ซีเวย เธอเป็นอะไรไปน่ะ”

หลังจากสวีซีเวยได้ยินจางเข่อซิงเอ่ยถาม เธอก็เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ความคิด จากนั้นสวีซีเวยก็เอ่ยตอบจางเข่อซิงด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“เข่อซิง ฉันไม่ได้เป็นไรหรอก แล้วนี่เธอไปรับเนื้อหมูมาใหม่เหรอ”

“อื้อ หัวหน้าให้ฉันไปเอาเนื้อหมูมาเติมน่ะ เนื้อหมูใกล้จะหมดแล้ว”

เมื่อสวีซีเวยได้ยินดังนั้น เธอก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เธอและจางเข่อซิงจะช่วยกันขนเนื้อหมูออกจากรถเข็น มาวางบนโต๊ะตัดแต่งเพิ่ม เนื่องจากที่แผนกตัดแต่งหมูแห่งนี้ เมื่อเนื้อหมูใกล้จะหมด พนักงานจะต้องไปขนเนื้อมาเติมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

จากนั้นสวีซีเวยและจางเข่อซิงก็เริ่มตัดแต่งเนื้อหมูร่วมกันด้วยรอยยิ้มตามปกติ


เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น

ชอบนิยายเรื่องนี้ ช่วยกดติดตาม และกดกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^^

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...