โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ยุคหุ้นปันผลฉ่ำๆ

Finnomena

เผยแพร่ 01 เม.ย. เวลา 06.42 น. • Dr.Niwes Hemvachiravarakorn

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่กำลัง “เหี่ยวเฉา” ลงเรื่อย ๆ นั่นก็คือ หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผลเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากปันผลปกติประจำปีจำนวน 2.5 บาทต่อหุ้น หลังจากประกาศ ราคาหุ้นในตลาดก็ปรับตัวขึ้น 3.5 บาทในวันแรก และหลังจากวันนั้นหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอีก 4 วันที่ 3.5 1.5 3 และ 3.5 บาท ตามลำดับ รวมแล้วหุ้นขึ้นไป 5 วัน คิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือขึ้นไปจากปันผลที่ประกาศถึง 6 เท่า โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ

หุ้นอีกตัวหนึ่งที่เงียบเหงามานานมากและราคาก็ไหลลงไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ดำเนินงานไปตามปกติ มีกำไรดีและมีความแข็งแกร่งช่วงหนึ่งอยู่ในระดับ “ซูเปอร์สต๊อก” ของหุ้นขายสินค้าและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำยาวนาน รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นน้อย ราคาหุ้นจึงแทบจะนิ่งตามภาวะตลาด

แต่แล้วบริษัทก็ประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6-7% ของหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด และทันทีที่ประกาศ หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 9% ในวันเดียว ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 4 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดให้คุณค่าแก่การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้สูงมาก ทั้ง ๆ ที่การซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้น บ่อยครั้งคนคิดว่าประกาศไปอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่ซื้อจริง ที่ทำไปก็เพื่อจะพยุงราคาหุ้นที่ไหลลงมาเรื่อย ๆ แต่พอหุ้นก็ยังลงต่อไป พวกเขากลับไม่ซื้อ

แต่กรณีนี้คนคิดว่าคงจะซื้อจริงถ้าหุ้นยังลงต่อ นักลงทุนคงจะเชื่อในตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเหมือนกันที่มีประวัติในการจ่ายปันผลงดงามของบริษัทตนเอง การประกาศซื้อหุ้นคืนในกรณีนี้จะเป็นเหมือนการ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นบางคน” ที่ไม่ต้องการถือหุ้นต่อ คล้าย ๆ กับการจ่ายเงินปันผลปกติหรือ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นทุกคน”

การซื้อหุ้นคืนนั้นเป็นผลดีคือจะทำให้คนที่ถือหุ้นต่อ จะได้ปันผลสูงขึ้นอย่างน้อย 6% ในปีถัดไป เพราะจำนวนหุ้นของบริษัทจะน้อยลงเพราะถูกซื้อคืนไปประมาณ 6% ถ้ากำไรและอัตราการจ่ายปันผลยังเท่าเดิมที่ 60% หรือ 70% ของกำไรที่ทำได้ และทั้งสองกรณีนั้นทำให้ผมคิดว่า บางทีนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไปจากเดิมที่เน้นการเก็งกำไรอย่างรวดเร็วผ่านการซื้อขายหรือการเทรดหุ้นที่มีราคาผันผวนในระยะสั้น ๆ อาจจะวันต่อวัน ไปเป็นการลงทุนในระยะยาวขึ้นที่เน้นการเติบโตของผลประกอบการที่ “มั่นคง” ของบริษัท และเน้นการรับปันผลที่งดงามปีละครั้งหรือสองครั้ง

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเทรดหุ้นที่ผ่านมานั้น “มีแต่เจ๊ง” แต่ปันผลในบริษัทที่มั่นคงระดับที่เป็น “เสาหลักของประเทศ” นั้น “ได้รับทุกปี” บางบริษัทปีละ “เกิน 5%” ของเงินลงทุน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามีเหตุผล และการลงทุนโดยการซื้อหุ้นที่จะจ่ายปันผลงดงามมากนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดีในยามที่เศรษฐกิจของไทยโตช้าลงไปมาก เช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจไฮเทคหรือธุรกิจแห่งอนาคตอื่น ๆ ที่จะไม่โตได้เร็วกว่าเศรษฐกิจมากนัก

แต่ผมคงไม่พูดถ้าไม่ได้ดูข้อมูลหรือทำการศึกษาว่าสิ่งที่พูดนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน วิธีที่ทำก็คือ ดูว่าผลงานของ “หุ้นปันผลงดงาม” ที่ผ่านมา กว่า 4 ปี เป็นอย่างไรบ้าง โดยที่ผมจะเลือกหุ้นที่มีปันผลดีสม่ำเสมอ โดยที่ผู้บริหารของบริษัทก็เน้นที่จะจ่ายเมื่อมีกำไรและมีเงินสดพอที่จะทำได้โดยไม่ได้กระทบกับการขยายงานหรือการเติบโตของบริษัทที่วางแผนไว้

เริ่มจากหุ้นแบงก์ใหญ่ที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้น มองย้อนหลังไป 4 ปี 3 เดือนคือเมื่อสิ้นปี 2563 มีราคาหุ้นละ 118 บาท คนที่ถือไว้จะได้ปันผล 4 ปี เป็นเงินรวมกันประมาณ 15 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลประมาณ 3.2% ต่อปี ในขณะที่ราคาหุ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เท่ากับ 164 บาท ดังนั้น รวมแล้วเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นแบงก์นี้จะได้รับเงินเท่ากับ 179 บาท จากต้นทุนเดิม 118 บาทหรือกำไรประมาณ 52% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน ซึ่งถือว่าดีพอสมควร และดีมากเมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นในตลาดโดยรวม

เพราะผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเดียวกันนั้นก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นเมื่อสิ้นปี 2563 เท่ากับ 1,499 จุด แต่เมื่อถึงวันที่ 28 มีนาคม 2568 ดัชนีเหลือเพียง 1,175 จุด หรือติดลบประมาณ 21.6% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน และถ้าปรับเรื่องของปันผลที่เราจะได้รับปีละประมาณ 3% ก็จะได้ผลว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้ให้ผลตอบแทนเป็น -9%

หุ้นแบงก์ตัวที่ 2 เป็นแบงก์เล็กที่มีประวัติจ่ายปันผลงดงามมานานและนักลงทุนในตลาดต่างก็รู้จักกันดี ราคาล่าสุดคือ 100 บาทต่อหุ้น ถ้าลงทุนตั้งแต่สิ้นปี 2563 จะได้ปันผล 4 ปี รวมกันประมาณ 29 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ยปีละ 8.2% เมื่อนำมารวมกับราคาหุ้นปัจจุบันก็จะเท่ากับ 129 บาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 44.5% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน คร่าว ๆ ก็คือปีละ 10%

หุ้นที่เคยเป็นแบงก์เล็กคล้ายกับแบงก์ที่ 2 และปรับตัวเป็นโฮลดิ้ง และปัจจุบันมีราคา 50.75 บาท ก็จ่ายปันผลงดงามรวมกัน 4 ปีเท่ากับ 12.2 บาท หรือคิดเป็นปันผลตอบแทนปีละ 8.7% ก็ให้ผลตอบแทนรวมงดงามที่ประมาณ 80% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปมากนอกเหนือจากปันผลที่ได้รับ

หุ้นตัวที่ 4 คือหุ้นเทเลคอมขนาดใหญ่ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 273 บาท โดยที่ 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกันประมาณ 31 บาทหรือปีละ 4.3% ให้ผลตอบแทนรวมกำไรจากราคาเท่ากับ 70.7% งดงามเมื่อคำนึงถึงความมั่นคงของธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย

หุ้นตัวที่ 5 จะเป็นกลุ่มของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่กำลังตกต่ำและอาจจะต่อเนื่องยาวนาน แต่หุ้นตัวนี้เป็นผู้นำทางด้านอสังหาริมทรัพย์หรูที่สุด ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาทต่อหุ้น แต่เฉพาะปันผล 4 ปีที่ได้รับอยู่ที่ 0.45 บาท หรือเป็นปันผลตอบแทนเฉลี่ยปีละถึง 13.6% จากต้นทุนที่ซื้อเมื่อกว่า 4 ปีก่อน ผลตอบแทนรวมกำไรที่ได้รับจากราคาหุ้นก็คือ 142% กลายเป็นสุดยอดหุ้นปันผล อานิสงส์จากราคาหุ้นที่ต่ำมากเมื่อตอนสิ้นปี 2563

หุ้นตัวที่ 6 ยังเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ถือหุ้นของกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาที่ใหญ่กว่าตัวเอง ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาท ปันผลที่ได้รับรวมกันเท่ากับ 0.51 บาทหรือได้ผลตอบแทนปันผลปีละ 5.4% ดังนั้น มูลค่ารวมปัจจุบันคือ 2.07 บาท ในขณะที่ราคาเมื่อวันสิ้นปี 2563 เท่ากับ 2.35 บาท ทำให้ผลตอบแทนติดลบ 11.9% ในช่วงเวลา 4 ปี 3 เดือน และพอ ๆ กับผลตอบแทนของตลาด

หุ้นตัวที่ 7 คือหุ้นที่คนตั้งชื่อเล่นว่าเป็น “น้ำมันตราเต่า” เพราะเป็นหุ้นที่ “ไม่ค่อยวิ่ง” เหมือนคนอื่น ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 37.75 บาท แต่ในช่วง 4 ปีรับปันผลรวมประมาณ 6.6 บาทหรือเท่ากับปันผลตอบแทนปีละ 6.9% อานิสงส์จากราคาหุ้นต้นทุนที่ต่ำในช่วงเริ่มต้น ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 85% หรือเฉลี่ยปีละกว่า 20% ถ้าเป็นเต่าก็คงเป็น “เต่าทะเล”

หุ้นตัวที่ 8 เป็นหุ้นขนาดเล็กที่เป็นผู้นำด้านของเสื้อผ้าแฟชั่น ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.95 บาท แต่ปันผลที่จ่ายในช่วง 4 ปีรวมกันประมาณ 2.85 บาทหรือเป็นปันผลตอบแทนปีละ 7.2% เมื่อรวมกับราคาหุ้นที่แทบไม่ขึ้นเลยในช่วง 4 ปี 3 เดือน ให้ผลตอบแทนรวม 29.3% หรือปีละ 7.3% ก็อาจจะพูดได้ว่าไม่เสียหายอะไรกับการถือหุ้นตัวนี้เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหรือลงทุนแบบอื่น

หุ้นตัวที่ 9 เป็นหุ้นที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ ๆ เพราะเป็นหุ้นที่ผลิตถังเหล็ก 200 ลิตรใช้บรรจุพวกสารเคมีอะไรทำนองนั้น ดูน่าเบื่อสุด ๆ แม้จะย้อนหลังไปเกือบ 30 ปี แต่ถึงวันนี้มันก็ยังคงอยู่และก็ทำกำไรและจ่ายปันผลได้ “เหมือนเดิม” เพราะคงไม่มีใครอยากเข้ามาแข่งทำถังในสมัยนี้ หุ้นที่มีการเทรดน้อยมากตัวนี้ ราคาหุ้นอยู่ที่ 24.5 บาท แต่ปันผลที่จ่าย 4 ปี รวมกันเท่ากับ 6.4 บาท หรือเท่ากับให้ปันผลปีละ 7% ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนเท่ากับ 34.9%

สุดท้ายคือหุ้นผู้นำทางด้านกระเบื้องปูพื้นต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่ากำลังอิ่มตัวตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นี่ก็เป็นหุ้นที่ไม่โต แต่ยังมีผลประกอบการที่ดีและจ่ายปันผลดี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกัน 0.52 บาทคิดเป็นปันผลตอบแทน 5.9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันเท่ากับ 1.44 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ตกลงมาแรงเนื่องจากรายได้และกำไรในช่วง 2 ปีหลังลดลงมากอานิสงส์จากอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง และอาจจะมาจากการแข่งขันโดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนติดลบประมาณ 11% พอ ๆ กับผลตอบแทนตลาด

ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ หุ้นที่จ่ายปันผลดีเทียบกับราคาหุ้น เช่น ในระดับ 5% ต่อปีโดยเฉลี่ยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไป และไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงแม้ว่าจะอิ่มตัว และบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม หรือเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีผู้นำแต่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันพอ ๆ กับคู่แข่งเช่นสถาบันการเงิน จะเป็นหุ้นปันผลที่ลงทุนได้และให้ผลตอบแทนที่ดีโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีนักอย่างเช่นในปัจจุบัน

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...