โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เจียงหย่าเสวี่ย จิตรกรหัตถ์สวรรค์

นิยาย Dek-D

เผยแพร่ 02 พ.ย. 2567 เวลา 08.52 น. • primพริมโรส
จิตรกรสาวอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ในรอบ100ปีทะลุมิติเข้าสู่ยุคโบราณในร่างของคุณหนูที่ครอบครัวล่มสลายเพราะมารดาถูกหย่าร้างและไล่ออกจากตระกูลนางต้องใช้ความสามารถและพรสวรรค์พลิกชะตากรรมของครอบครัวให้จงได้

<h2 style='display: flex; justify-content: center;'>ข้อมูลเบื้องต้น</h2><p class="indent-a">เรื่องย่อ</p><p class="indent-a">เจียงหย่าเสวี่ย บุตรสาวของภรรยาเอกเสนาบดีเจียงเฉินแห่งแคว้นต้าเฉิน ต้องพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายหลังจากมารดาของนางถูกใส่ร้ายว่าคบชู้ เนื่องจากน้องชายของเจียงหย่าเสวี่ยเกิดมาพร้อมนิ้วที่เกินมาหนึ่งนิ้วที่มือ ทำให้ตระกูลเจียงรังเกียจและคิดว่าเป็นตัวอัปมงคลจึงหาทางป้ายสีพวกนางเพื่อไล่ออกจากตระกูล อีกทั้งยังมีภรรยารองของเสนาบดีที่เป็นถึงบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่ฮ่องเต้ไว้วางใจคอยยุยงและใส่ร้ายอยู่ตลอดเวลาเพราะต้องการให้ลูกๆ ของตนเป็นผู้สืบทอดตระกูล</p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยา มารดาของเจียงหย่าเสวี่ยนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของนายอำเภอเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลแต่งออกมากับเจียงเฉินด้วยความรักสุดหัวใจ ไหนเลยจะมีอำนาจมาต่อสู้กับอิทธิพลของภรรยารอง นางจึงจำต้องหย่าร้างทั้งๆ ที่แสนจะอับอายที่ไม่สามารถที่จะล้างมลทินให้ตัวเองได้ บุตรสาววัย 14 ปี และบุตรชายวัย 8 ขวบที่ตระกูลเจียงไม่ต้องการ ต้องระเห็จออกจากจวนพร้อมทั้งห้ามพวกนางใช้แซ่เจียงอีกต่อไป เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเดิมอับอาย ท่านแม่เจียงซิ่วเหยาจึงไม่พาลูกๆ กลับไปที่ตระกูลเดิมของตน แต่ตัดสินใจพาลูกๆ เร่ร่อนไปอยู่อีกฟากของแคว้นที่ห่างไกล เพราะเส้นทางที่เดินทางนั้นยากลำบากประกอบกับเงินที่เหลือจากสินเดิมที่มีเพียงเล็กน้อยของท่านแม่ ทำให้พวกนางต้องประหยัดกันอย่างมาก ในระหว่างการเดินทางหย่าเสวี่ยป่วยหนักและเสียชีวิต โดยที่เจียงซิ่วเหยาและบ่าวที่มาด้วยไม่รู้ตัว</p><p class="indent-a">ในช่วงเวลาวิกฤตวิญญาณของหลี่หนิง ปรมาจารย์จิตรกรจากยุคปัจจุบันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในรอบ100ปี ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ยและตอนที่เธอทะลุมิติมานั้น พู่กันโบราณที่เป็นของขวัญวันเกิดที่เธอได้รับจากลูกศิษย์ของเธอได้ทะลุมิติมาพร้อมกับเธอด้วย</p><p class="indent-a">เมื่อได้รับความความทรงจำและการฝากฝังครอบครัวจากร่างเดิมทำให้หลี่หนิงหรือเจียงหย่าเสวี่ย จำเป็นต้องใช้ทักษะที่มีเพื่อเอาตัวรอดและปกป้องครอบครัวเล็กๆ ของนางท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตในชนบท และนั่นเองที่ทำให้นางค้นพบพลังลึกลับที่แฝงอยู่ในพู่กันของตน นางพบว่าเมื่อใส่จิตวิญญาณลงในภาพวาด ภาพเหล่านั้นจะมีชีวิตและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโลกจริงได้ สายน้ำที่วาดกลับเคลื่อนไหว ใบไม้พลิ้วไหวตามสายลม และสัตว์ในภาพที่สามารถขยับราวกับเป็นของจริง</p><p class="indent-a">ด้วยพู่กันที่มีพลังแห่งหัตถ์สวรรค์ ประกอบกับฝีมือที่เป็นถึงปรมจารย์ในรอบ 100 ปี ของหย่าเสวี่ยวทำให้นางสามารถพลิกฐานะครอบครัวและสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว และพวกนางได้ตั้งตระกูลของตัวเองขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าตระกูลเฟิง เฟิงหย่าเสวี่ยนั้นต้องการที่จะล้างมลทินให้กับมารดาของนาง และทวงคืนศักดิ์ศรีของครอบครัวของนาง และน้องชายผู้นั้นที่พวกตระกูลเจียงรังเกียจนั้นนางจะสอนให้เขาเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังให้ได้ อยากจะรู้นักหากว่าตระกูลเจียงได้รู้ว่าพวกเขาได้ทิ้งหยกล้ำค่าอย่างพวกนางไปพวกเขาจะเป็นเช่นไร!!!</p><p class="indent-a">มาติดตามและเอาใจช่วยชีวิตของปรมาจารย์จิตรกรสาวสวยคนนี้กัน….</p><p class="indent-a"> </p><p class="indent-a">ด้วยรัก</p><p class="indent-a">primพริมโรส </p><p> </p><hr/><h2 style='display: flex; justify-content: center;'>ความอัปยศ</h2><p class="indent-a">บทที่ 1 ความอัปยศ</p><p class="indent-a">ณ คฤหาสน์ตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าจง</p><p class="indent-a">ค่ำคืนที่เงียบสงบกลับกลายเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนบ่งบอกถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของคนในตระกูลเจียง ภายในจวนใหญ่ของตระกูลเจียง ผู้คนต่างมารวมตัวกันอย่างแน่นหนา เสียงซุบซิบและการพูดคุยกันเบาๆ ของเหล่าคนในตระกูลและบ่าวไพร่ดังขึ้นทั่วบริเวณ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังศาลาที่ใช้สำหรับตัดสินความผิด ศาลาที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและแรงกดดัน</p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยา ฮูหยินใหญ่ของเสนาบดีเจียงเฉินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางศาลา ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนพื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดอย่างไม่เป็นธรรม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟังนางเลย ทุกคนต่างมองนางด้วยสายตาเย้ยหยันและรังเกียจ แต่ทว่าแม้นางจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แต่ความงดงามของนางยังคงโดดเด่นราวกับดอกสาลี่ที่ต้องสายฝนกระหน่ำ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของนางกลับทำให้คนมองรู้สึกทั้งสงสารและริษยาในความงามพิลาศที่สวรรค์ลำเอียงให้นางมามากมาย ความงามอันอ่อนหวานนั้นเป็นที่ริษยาของบรรดาฮูหยินรองและอี้เหนียงทั้งหลายที่ยืนมองเรื่องสนุกและสะใจในความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ ซึ่งไม่มีใครอยากเห็นนางยืนอยู่ในที่สูงเช่นนี้อีกต่อไปหากว่าสามารถเหยียบย่ำได้ก็จะต้องทำทันที</p><p class="indent-a">"ข้าไม่ได้ทำ! ข้าบริสุทธิ์! ท่านพี่ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ " </p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยาร้องเสียงสะอื้น นางพยายามอธิบาย แต่น้ำเสียงของนางถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะเยาะและคำพูดที่เต็มไปด้วยการดูถูกจากผู้คนรอบข้าง</p><p class="indent-a">“ไม่ต้องมาแก้ตัว! เจ้าถูกจับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังจะปฏิเสธอะไรอีก! นี่หากว่าไม่ถูกจับได้บนหัวท่านพี่คือ แม้แต่เส้นผมก็คงจะกลายเป็นสีเขียวหมดแล้ว” </p><p class="indent-a"> เสียงของเจียงหลันฟาง ฮูหยินรองของเสนาบดีเจียงเฉินดังขึ้น นางยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าของนางงดงามและเปล่งประกายด้วยความมั่นใจที่มาจากความสูงศักดิ์ เจียงหลันฟางหรือหลิวหลันฟางเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาหลิวตงเฉิน ที่ฮ่องเต้ไว้วางใจครอบครัวของนางมีทั้งอำนาจและฐานะที่คนทั่วไปยำเกรง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังต้องเกรงใจนาง ใบหน้าของนางฉายแววแห่งความสะใจ ขณะที่สายตาของนางจับจ้องมาที่เจียงซิ่วเหยาราวกับจะเหยียบย่ำให้จมดิน</p><p class="indent-a">"ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น! ข้าไม่เคยคิดคบชู้กับบ่าวรับใช้! ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ท่านพี่ ท่านแม่โปรดเชื่อข้าเถิดเจ้าค่ะ ฮื่ออออ!!!" เจียงซิ่วเหยาร้องออกมาน้ำเสียงของนางสั่นเครือด้วยความสิ้นหวัง </p><p class="indent-a">"มันเป็นการใส่ร้าย ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดบ่าวคนนั้นถึงมาอยู่ในห้องของข้า! มันเป็นการจัดฉากเพื่อใส่ร้ายข้าจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ ท่านพี่ เชื่อข้าเถอะ"</p><p class="indent-a">แต่คำพูดของเจียงซิ่วเหยากลับไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครในที่นั้นที่คิดจะฟังนาง ถึงแม้ว่านางจะพูดความจริงแล้วอย่างไรเล่า?? …ในที่แห่งนี่มีแต่คนที่แข็งแกร่งและระมัดระวังตัวเองเท่านั้นถึงจะอยู่รอด นี่คือความคิดของเหล่าอี้เหนียง ไม่มีความสงสารเห็นใจเลยถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ตาม พวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นท่านเองที่พลาด..ฮูหยินใหญ่.</p><p class="indent-a"> บ่าวรับใช้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับนางได้หลบหนีไปเมื่อถูกจับได้ ทิ้งให้นางต้องรับความอัปยศไว้เพียงลำพัง สถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนในตระกูลเชื่อว่านางเป็นผู้ผิดจริง เจียงซิ่วเหยาหันสายตาไปมองเจียงเฉิน สามีของนางที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตาเย็นชานั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา ไม่มีแล้วสายตาแห่งความรักใคร่ที่นางเคยได้รับจากเขา ไม่มีอีกแล้วสายตาแห่งความเมตตา..ไม่มีแล้วจริงๆ นางคิดด้วยความเศร้าและสิ้นหวัง </p><p class="indent-a"> เสนาบดีเจียงเฉินที่นั่งก้มมองร่างของฮูหยินเอกของตนด้วยสายตาเฉยเมย เขาเป็นชายฉกรรจ์ในวัยสี่สิบกว่าที่มีความสง่างามและหล่อเหลาอย่างน่าประทับใจ ความสูงของเขาโดดเด่น รูปร่างสมส่วนด้วยความแข็งแรงแบบนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขายังคงมีท่วงท่าที่องอาจและน่าเกรงขาม แม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้วแต่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ถึงความน่าดึงดูดของเขา ใบหน้าของเขายังคงมีความคมชัดและสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ จมูกโด่งรับกับคิ้วที่เข้ม หน้าผากกว้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด ดวงตาคมเข้มแฝงด้วยประกายเยือกเย็นที่แสดงถึงอำนาจและความเด็ดขาด มุมปากของเขามักจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเบา ๆ ที่ดูทั้งมีเสน่ห์และลึกลับ เส้นผมของเขามีสีดำเข้มตัดกับสีเงินที่แทรกอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งยิ่งทำให้เขาดูมีความน่าดึงดูดในแบบผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์</p><p class="indent-a">แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เจียงเฉินก็ยังคงดูดีและมีบารมีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การแต่งกายของเขามักจะเลือกชุดที่ประณีตและดูสง่างาม เครื่องแต่งกายสีเข้มที่เน้นลวดลายสีทองทำให้เขาดูเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความมั่นคงและอำนาจ ทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน สายตาของผู้คนรอบข้างจะจับจ้องที่เขา ด้วยความเคารพและเกรงกลัว ความหล่อเหลาของเจียงเฉินนั้นไม่ได้มาจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมาจากออร่าของอำนาจ ความมั่นใจ และการควบคุมตัวเองที่เขามีตลอดเวลา</p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยาละสายตาจะสามีของนางและมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของเจียงเฉินที่เคยรักและเอ็นดูนาง แต่บัดนี้กลับมองนางด้วยสายตาแห่งความผิดหวังและเกลียดชัง ความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมดินทำให้นางนั้นแทบหายใจไม่ออก พวกเขามองนางราวกับมองคนแปลกหน้าไม่ใช่คนที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายปีแต่อย่างใด </p><p class="indent-a">"เจียงซิ่วเหยา เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นภรรยาเอกแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้หรือ?" เจียงหลันฟางกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ "เจ้าไม่เพียงทำลายเกียรติของตระกูลเจียง แต่ยังทำให้ท่านพี่ต้องอับอายอย่างถึงที่สุด" </p><p class="indent-a">จียงหลันฟางนั้นก็พยายามกระพือไฟให้ลุกตลอดเวลา นางไม่ต้องการให้ท่านแม่และท่านพี่สงสารเจียงซิ่วเหยา ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดคงจะล้มไม่เป็นท่าแน่ </p><p class="indent-a">เจียงเฉินเสนาบดีผู้เป็นสามีของเจียงซิ่วเหยา นั่งอยู่บนที่นั่งสูง สายตาของเขาเย็นชาและไร้ความรู้สึก ขณะที่เขามองดูภรรยาที่เขาเคยรักนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า การทรยศที่เขาถูกทำให้เชื่อว่าภรรยาของเขากระทำ ทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง แต่ทว่ามันมีสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังมากกว่าการที่ได้ทราบว่านางคบชู้ เขาจึงไม่ได้คัดคานเรื่องในครั้งนี้ ซึ่งหากว่าฮูหยินรองทำสำเร็จ ปัญหานั้นก็จะถูกกำจัดไปจากจวนเจียงของเขาด้วยนั่นเอง เขาจึงไม่ได้พูดอะไร ทั้งๆ ที่ในใจนั้นก็ทราบดีว่าฮูหยินเอกของเขานั้นได้คบชู้หรือไม่</p><p class="indent-a">"เจียงซิ่วเหยา ข้าให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในตระกูลเจียง ข้าให้เจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เจ้ายังกล้าทรยศข้าเช่นนี้อีกหรือ?" เสียงของเสนาบดีเจียงเฉินดังขึ้นอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้าทำให้ข้าและตระกูลเจียงต้องอับอายขายหน้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้ามันน่ารังเกียจเพียงใด?"</p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น นางก้มหน้าลงต่ำ มือของนางสั่นเทาด้วยความกลัวและสิ้นหวัง </p><p class="indent-a">"ท่านพี่ ข้าบริสุทธิ์ ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม ขอท่านโปรดเชื่อใจข้าเถิดเจ้าค่ะ"</p><p class="indent-a">แต่เสนาบดีเจียงเฉินกลับไม่สนใจคำพูดของนาง เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้บ่าวรับใช้นำตัวเจียงซิ่วเหยาออกไป</p><p class="indent-a"> "เจ้าไม่มีสิทธิ์อยู่ในจวนนี้อีกต่อไป ข้าจะหย่าขาดจากเจ้า และเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ พร้อมกับลูกๆ ของเจ้า ข้าไม่ต้องการเห็นพวกเจ้าอีก"</p><p class="indent-a">คำสั่งของเจียงเฉินเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของเจียงซิ่วเหยา นางทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาของนางไหลรินไม่หยุด ขณะนั้นเอง เจียงหย่าเสวี่ยก็วิ่งมาที่ศาลาและเข้าไปกอดท่านแม่ของนางทันที พลางเอ่ยว่า</p><p class="indent-a"> "ท่านพ่อ ท่านพ่อได้โปรดเชื่อท่านแม่สักครั้ง ท่านแม่ไม่มีทางที่จะทรยศท่าน ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อ!"</p><p class="indent-a"> เจียงซิ่วเหยากอดลูกสาวแน่น น้ำตาของนางยิ่งไหลรินมากขึ้น นางรู้สึกทั้งสิ้นหวังและรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกต้องมาพบกับสถานการณ์เช่นนี้</p><p class="indent-a">แต่เจียงเฉินกลับไม่ฟัง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากศาลา ทิ้งให้เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและการดูถูกของคนในตระกูล นางไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง</p><p class="indent-a">เจียงหลันฟางยืนมองดูเจียงซิ่วเหยาที่กำลังถูกลากตัวออกไปจากศาลา รอยยิ้มที่มุมปากของนางฉายแววแห่งความสะใจ ในที่สุดนางก็สามารถกำจัดคู่แข่งที่ขวางทางลูกๆ ของนางออกไปได้สำเร็จ นางมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม พลางคิดว่านี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในตระกูลเจียง และนางจะต้องทำให้แน่ใจว่าลูกๆ ของนางจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของเจียงซิ่วเหยา</p><p class="indent-a">เจียงซิ่วเหยาถูกลากให้กลับมาที่เรือนเพื่อที่จะเก็บของของนาง ในขณะเดียวกันเสนาบดีเจียงเฉินก็ให้คนนำหนังสือหย่าและให้นางประทับตราพร้อมกับยัดตั๋วแลกเงินจำนวน 500 ตำลึงให้และเดินจากไปทันที ท่ามกลางสายตาของเหล่าคนรับใช้และคนในตระกูลที่ยืนมองด้วยความสมเพช พวกนางแม่ลูกและบ่าวรับใช้ที่เป็นสินเดิมมาพร้อมนาง 4 คน พวกเขาช่วยกันเก็บของอย่างรวดเร็วเท่าที่พวกนางจะทำได้ เจียงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปเก็บข้าวของของตนเอง ขณะที่บ่าวทั้ง4 คนต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของของเจียงซิ่วเหยา และยังต้องมาเก็บของของน้องชายวัย 8 ขวบที่ตอนนี้ร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจ สภาพของพวกนางนั้นทั้งน่าเวทนาและโกลาหล</p><p class="indent-a"> ป้าจวงบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านแม่ต้องรีบเข้ามาปลอบน้องชายพลางเก็บของของคุณชายน้องไปด้วย ขณะที่อาหง กับเสี่ยวจิวและอาหานพยายามจัดการกับข้าวของที่กระจัดกระจาย ท่ามกลางความเร่งรีบและแรงกดดันที่มากขึ้นทุกขณะ จากนั้นพวกนางถูกบ่าวของจวนเจียงคุมบังคับให้รีบออกจากจวน เมื่อถึงประตูมีบ่าวชราที่เป็นคนสนิทของฮูหยินรองผลักพวกเขาลงกับพื้นตรงหน้าประตูจวนใหญ่ จากนั้นไม่นานมีบ่าวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกล่องเล็กให้และบอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าให้นางเก็บเอาไว้ เมื่อนางเปิดดูจึงเห็นว่าด้านในเป็นตั๋วเงิน 300 ตำลึงและมีเครื่องประดับหยกและปิ่นปักผมอีก 2-3 ชิ้น เจียงซิ่วเหยาหันกลับไปมองจวนที่เคยเป็นบ้านของนาง น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางรู้ว่านับจากนี้ ชีวิตของนางและลูกๆ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป</p><p class="indent-a">ท่ามกลางความสิ้นหวัง เจียงซิ่วเหยาหันมองไปยังลูกๆ ของนาง เจียงหย่าเสวี่ยและน้องชายที่ยังคงร้องไห้เพราะว่าเสียขวัญและบ่าวทั้ง4 ที่พวกเขายังอยู่ในอาการงงงวย แต่เมื่อเห็นนายของตัวเองถูกหย่าและโยนทิ้งออกมาเหมือนของไม่มีค่าเช่นนี้พวกเขาทั้ง 4 ก็พร้อมที่จะออกจากจวนไม่ขออยู่ในสถานที่โหดร้ายเช่นนี้ </p><p class="indent-a">"ปัง" </p><p class="indent-a">เสียงประตูจวนใหญ่ปิดลงอย่างดังสนั่น เหมือนกับการปิดประตูจากชีวิตที่นางเคยมี เจียงซิ่วเหยาประคองลูกชายของนางไว้ในอ้อมแขนพลางปลอบใจเขาเบาๆ พลางสูดหายใจลึกเพื่อข่มความกลัวและความเศร้า นางรู้ว่าต้องเข้มแข็งเพื่อลูกๆ ของนาง แม้ว่าจะไม่มีบ้านอีกต่อไป แต่นางจะไม่ยอมแพ้ที่จะปกป้องครอบครัวของนางจากโลกที่โหดร้ายใบนี้</p><p class="indent-a"> </p><p class="indent-a">****ถูกโยนออกมาจากจวนจริงๆ เสนาเจียงไม่สนใจลูกๆ ของตัวเองเลย ใจร้ายมาก****</p><p>*** รีดที่รัก อย่าลืมกด หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์มาเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ อยากได้กำลังใจเยอะๆ อยากปั่นๆ 555 ***</p><figure style="width:50%;" class="image image_resized"><img loading="lazy" src="https://image.dek-d.com/28/0893/8506/134543496"></figure><figure style="width:50%;" class="image image_resized"><img loading="lazy" src="https://image.dek-d.com/28/0893/8506/134543709"></figure><p>เสนาเจียงผู้หล่อเหลา </p><figure style="width:50%;" class="image image_resized"><img loading="lazy" src="https://image.dek-d.com/28/0893/8506/134543710"></figure><p> </p><hr/>

เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิด

บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิด

ภาพสุดท้ายที่เหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเจียงเห็นและกลับไปรายงานให้กับเจ้านายของพวกเขาแต่ละคนก็คือ ภาพของหญิงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากดอกไม้กลีบบอบบางที่โดยฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแต่ทว่ายังแข็งใจเดินออกมา มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือจูงมือลูกชาย และมีบ่าว 4 คนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตามถนนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

"เจี๋ยเออร์ เสวี่ยเออร์ ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ยังอยู่กับพวกเจ้าเสมอ"นางพูดกับลูกๆ ของนางเบาๆ

เจียงหย่าเสวี่ยที่ร้องไห้เสียงสั่น

"ท่านแม่…เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ? ทำไมท่านพ่อถึง…"

เจียงซิ่วเหยาพยายามยิ้มอย่างเข้มแข็งไปที่ลูกสาว

"ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะพาพวกเจ้าไปในที่ที่ปลอดภัย เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย"

ป้าจวงหันมาพูดกับเจียงซิ่วเหมย"ฮูหยินเจ้าคะ เราแวะพักที่โรงเตี้ยมข้างหน้านั้นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ดูเหมือนคุณหนูทั้งสองจะเหนื่อยกันมากแล้ว"

เจียงซิ่วเหยา "คุณหนู!! ต่อไปป้าจวงเรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ..ตอนนี้ไม่มีฮูหยินอีกแล้ว เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ เจี๋ยเออร์กับเสวี่ยเออร์คงจะหิวแล้วจริงไหมลูก?"

เจียงเจี๋ยเออร์และเจียงหย่าเสวี่ย พยักหน้า"หิวเจ้าค่ะ/เจ้าขอรับ ท่านแม่…"

เจียงซิ่วเหยา "ดีแล้ว พวกเราไปพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"

"เฮ้อ น่าสงสารจริง ๆ นะ นั่นใช่ฮูหยินใหญ่จากจวนเจียงหรือเปล่า?" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

"ใช่แล้ว ข้าเคยเห็นนางตอนยังรุ่งเรืองอยู่ แต่นี่…ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง เดี๋ยวข้าจะแอบไปถามยายเฒ่าจงตอนนี่นางออกมาซื้อของ ไว้จะมาเล่าให้เจ้าฟัง"

นางเอ่ยบอกเพื่อนของนางในการหาข่าวและจะมาช่วยกันไขความอยากรู้นี้ให้ได้ราวกับเป็นภารกิจที่จะต้องกระทำ หากไม่ทำจะกินข้าวไม่อร่อยอย่างไรอย่างนั้น

"ใครจะไปคิดว่าคนที่เคยสูงส่งขนาดนั้นจะต้องมาตกต่ำถึงเพียงนี้ ข้าเห็นตอนที่พวกนางถูกบ่าวรับใช้ในจวนโยนออกมาราวกับเป็นของไม่มีค่ามีราคา หาใช่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แล้วสงสารนัก ดูเหมือนลูกๆ ของนางจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ…เฮ้อ… พวกคนใหญ่คนโตนี้ทำอะไรคนธรรมดาแบบพวกเรานี้คาดไม่ถึงจริงๆ "

มีอีกเสียงที่ค้นพบสัจธรรมของชีวิต ดังขึ้นข้างๆ พวกนางสองคน พวกนางจึงหันไปทางนั้นและขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยจากนั้นการนินทาระยะเผาขนก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตามประสาจีนมุงอยากรู้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

"แต่ว่าเจ้าดูสิ นางยังคงดูเข้มแข็งอยู่นะ ไม่ได้อ่อนแอหรือน่าสมเพชเลยนางจูงมือลูก ๆ อย่างนั้น ราวกับว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวของนางได้ ผู้หญิงที่บอบบางแบบนางใครจะนึกว่าจะเข้มแข็งขนาดนี้ได้ "

หญิงที่อยู่ในกลุ่มพูดต่อด้วยความทึ่งและมีหลายคนพยักหน้าตามที่นางพูดด้วย

"ก็จริง… ข้าว่าลูก ๆ ของนางคงจะไม่เข้าใจความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เห็นท่าทางของนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ" เพื่อนของนางเสริมพร้อมกับมองตามเจียงซิ่วเหยาที่จูงลูก ๆ และขบวนบ่าวเล็กๆ ที่เดินห่างออกไป

"แต่ก็นะ ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนในเมืองหลวงนี่ใจดำกันจริง ๆ ทุกคนแค่สนใจตัวเองไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนที่ตกต่ำแล้ว" ชายชราที่วิ่งมาดูเหตุการณ์ตั้งแต่แรกพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเห็นใจ

"เจ้าก็พูดถูก เราเองก็ทำได้แค่มองเท่านั้น" เพื่อนของเขาตอบพร้อมถอนหายใจ “แต่ข้าก็หวังว่าพวกเขาจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัยสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ และเด็กๆ เสียจริง ท่านเสนาก็ช่างใจดำเหลือเกินจะให้ออกจากจวนก็ไม่ให้เวลาพวกนางเก็บของเรียกรถม้าเลย แบบนี้พวกนางจะเดินได้ถึงไหนกัน เฮ้ออ..”

จากนั้นก็มองภาพที่หญิงสาวที่เคยมีความสูงส่งต้องเดินฝ่าฝูงชนด้วยความยากลำบาก แต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูเข้มแข็งและพร้อมที่จะปกป้องลูก ๆ และคนของนางอย่างเต็มกำลัง

เจียงหย่าเสวี่ยที่เดินเคียงข้างมารดานั้นร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา นางเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอมาโดยตลอด ทำให้นางหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก นางตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับผู้คนมากมายและบรรยากาศที่แสนวุ่นวายนางยังตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ที่อยู่ ท่านพ่อก็โยนท่านแม่ออกมาจากจวน และท่านพ่อยังไม่ต้องการพวกนางอีก…ทำไมท่านพ่อถึงได้ทำแบบนั้น ทำไมถึงไม่รักพวกนางเหมือนกับที่รักลูกๆ ของแม่รองบ้าง นี่คือสิ่งที่เด็กสาวคิด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดหวั่น

เจียงหย่าเสวี่ยเกาะแขนมารดาไว้แน่นราวกับจะหาแหล่งพึ่งพิง มือเล็ก ๆ ที่จับมือของมารดาสั่นเทาด้วยความกลัว ใบหน้าที่บอบบางซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น แต่ความอบอุ่นจากมือของมารดาที่จับนางไว้ก็ช่วยให้นางมีความมั่นใจขึ้นเล็กน้อย แววตาของเจียงหย่าเสวี่ยที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอค่อย ๆ เริ่มแฝงไปด้วยความเข้มแข็งตามแบบที่มารดาแสดงให้เห็น ขณะที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่คน แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการแบกข้าวของ แต่ก็ยังคงเดินตามอย่างจงรักภักดี พวกเขารับรู้ได้ถึงความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ และต่างก็พร้อมที่จะร่วมฝ่าฟันไปกับนายของตน

ผู้คนในเมืองหลวงที่เดินผ่านต่างเหลือบมองพวกเขาด้วยความสนใจ บ้างหัวเราะเยาะ บ้างกระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ พวกเขาเห็นเพียงครอบครัวที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย ท่ามกลางความโหดร้ายของชีวิตในเมืองหลวง เจียงซิ่วเหยาและลูก ๆ ต้องเดินฝ่าฝูงชนอย่างยากลำบาก แต่แม้จะไม่มีใครช่วย พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ข้าวของที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่แบกอยู่ทำให้การเดินเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ทุกคนก็ยังคงพยายามสุดความสามารถ

///////

ปักกิ่งปี 2024

ณ ลานกว้างใหญ่ที่ถูกจัดอย่างหรูหราและสง่างาม ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการแสดงความยินดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เนื่องในงานวันเกิดของปรมาจารย์อัจฉริยะ หลี่หนิงหญิงสาวที่มีอายุเพียง 35 ปี เธอที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะด้านจิตรกรรมในรอบ 100 ปีของ ความสามารถในการวาดภาพและการถ่ายทอดพลังจิตลงในผลงานทำให้หลี่หนิงได้รับการเคารพอย่างมากมายจากศิษย์และบุคคลในวงการศิลปะ ผู้คนต่างมาแสดงความเคารพและมอบของขวัญให้เธอในโอกาสพิเศษนี้

หลี่หนิง"ขอบคุณทุกคนมากที่มาในวันนี้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและความรักจากพวกเธอทุกคน"

ลูกศิษย์คนหนึ่ง"อาจารย์หลี่คะ นี่คือของขวัญที่ฉันค้นพบจากร้านขายของโบราณที่เมืองเฉิงตู เห็นว่าพวกเขาได้มันมาจากสุสานที่ค้นพบไม่นานมานี้ค่ะ ฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับอาจารย์อย่างมากเลยค่ะ มันดูเหมือนมีความลับอย่างไรไม่รู้ ฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะชอบ"

หลี่หนิง ยิ้มและยื่นมือรับของขวัญ "พู่กันโบราณอย่างนั้นหรือ? ช่างลึกลับเสียจริง ๆ ขอบใจมากนะ พวกเธอช่างเอาใจใส่กันดีจริง ๆ"

ลูกศิษย์อีกคน "อาจารย์คะ ลองเปิดดูสิคะ พวกเราเองก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง"

เมื่อหลีหนิงเปิดกล่องเธอเห็นพู่กันโบราณที่อยู่ในกล่องนั้นดูสวยงามและลึกลับ ขนพู่กันที่ดูเหมือนจะนุ่มละมุนกลับมีแสงเรืองรองบางเบา ละม้ายคล้ายกับละอองเวทมนตร์ที่ลอยอยู่รอบๆ ขนพู่กัน เมื่อเธอยกมันขึ้นมองใกล้ๆ จะเห็นลวดลายโบราณที่สลักไว้บนด้ามจับ ลวดลายเหล่านั้นไม่ใช่เพียงลายเส้นธรรมดา แต่กลับดูเหมือนอักษรเวทมนตร์ที่มีพลังลี้ลับแฝงอยู่ แสงจางๆ จากลวดลายสลักนั้นคล้ายกับว่ายังมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ราวกับมันกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง พู่กันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอคอยผู้ที่คู่ควรที่จะใช้มัน พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในทำให้หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอไม่อาจอธิบายได้

หลี่หนิงมองพู่กันด้วยความประทับใจ "ดูสิ ขนพู่กันนุ่มมาก และลวดลายบนด้ามจับก็มีความละเอียดอ่อน เหมือนกับมีบางอย่างแฝงอยู่จริง ๆ"

ลูกศิษย์คนเดิม "อาจารย์ลองใช้ดูสิคะ บางทีอาจจะมีพลังพิเศษก็ได้นะคะ ฮ่า ๆ"

หลี่หนิงหัวเราะเบา ๆ "คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกจริง ๆ เหมือนกับว่ามีพลังอะไรบางอย่างที่ดึงดูดฉันอยู่"

หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากพู่กันนี้ มันราวกับว่ามันกำลังเชื้อเชิญให้เธอสัมผัสอย่างใกล้ชิด ด้วยความประทับใจ เธอค่อย ๆ ใช้นิ้วมือเรียวลูบไปตามปลายพู่กันที่นุ่มละมุน แต่ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีขนพู่กันเส้นหนึ่งที่แข็งเหมือนเข็ม หลี่หนิงยังไม่ทันจะขยับมือกลับ ขนพู่กันเส้นนั้นก็ทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของเธอ

“โอ๊ย!”

เธอร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะเห็นเลือดหยดหนึ่งซึมออกมาจากปลายนิ้ว เลือดหยดนั้นหยดลงไปบนพู่กันโบราณ มันซึมเข้าไปในขนพู่กันอย่างรวดเร็ว และเกิดบางสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น …พู่กันเหมือนกับมีชีวิต มันดูดซับเลือดของเธออย่างกระหาย ราวกับมันกำลังดื่มเลือดในชั่วพริบตา โลกทั้งใบของหลี่หนิงก็พลันมืดดับลง เสียงผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลองรอบกายเธอก็หายไป ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป เหมือนกับถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความว่างเปล่า เธอไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป ร่างของเธออ่อนแรง และหลี่หนิงก็วูบลงไปทันที ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกสิ่งที่เธอรับรู้ได้

เสียงของผู้คนรอบข้างตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความตกใจ แต่หลี่หนิงกลับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว มีเพียงความมืดที่เข้าปกคลุมสติและทำให้ทุกอย่างดับมืดลง…ไปตลอดกาล…

******** รีดที่รัก อย่าลืมกด หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์มาเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะค่ะ อยากได้กำลังใจเยอะๆ อยากปั่นๆ 555 ****

***พู่กันขนที่ดูนุ่มนวล****

เจ็บแล้วจำคือคน…

บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน….

ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆลอยละล่องพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น รถม้าสองคันแล่นตามกันออกจากเมืองหลวงที่คึกคักสู่ชนบทที่ห่างไกล สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้สูงชะลูดและอาคารแบบทรงนิยมในเมืองหลวง ที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเลือนรางและห่างไกลออกไปทุกที บรรยากาศที่เคยครึกครื้นในเมืองหลวงกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเดียวดาย มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่กระทบกับถนนกรวดดังเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น รถม้าคันหนึ่งเป็นที่นั่งของเจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ และป้าจวงบ่าวคนสนิท อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้สามคนและสัมภาระทั้งหมดที่นำติดตัวมา แม้จะมีคนอยู่ข้างกัน แต่ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งก็ยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขา

เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ในรถม้า ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต นางมองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ นางรู้สึกทั้งกังวลและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน จุดหมายปลายทางของนางคือเมืองที่เรียกว่าอวี้ไห่ เมืองชนบทห่างไกลที่อยู่ริมทะเล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปที่นั่นเมื่อตอนยังเด็ก เป็นความทรงจำที่รางเลือนแต่ก็อบอุ่นในใจ เมืองอวี้ไห่เป็นสถานที่ที่ท่านแม่ของนางเคยเล่าให้ฟังเสมอว่าเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม และผู้คนที่อ่อนโยน ป้าจวงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

"คุณหนูเจ้าคะ ทำไมไม่กลับไปที่บ้านของคุณท่านก่อนล่ะเจ้าคะ ท่านนายอำเภอคงจะยินดีช่วยเหลือพวกเรา"

เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจดึงตัวเองออกจากความคิดที่ลอยไปไกลพลางส่ายหน้าเบา ๆ

"ข้าไม่อยากทำให้ครอบครัวของท่านพ่อต้องลำบาก ป้าจวงก็ทราบว่า ท่านพ่อแต่งงานใหม่หลังจากที่แม่ของข้าเสีย ข้าไม่อยากเป็นภาระหรือทำให้พวกเขาเดือดร้อน ข้าถือว่าแต่งออกมาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกมา ไม่ควรกลับไปบ้านเดิม ข้าต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักก่อน แล้วค่อยคิดหาหนทางต่อไป"

นางได้พบกับเจียงเฉินในตอนที่ตามท่านพ่อมาเที่ยวที่เมืองหลวง หลังจากนั้นเมื่อนางแต่งงานกับเจียงเฉินและย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง นางก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านท่านแม่อีกเลย ความฝันที่จะกลับไปเยือนบ้านเกิดของท่านแม่กลายเป็นสิ่งที่นางต้องเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่วันนี้ เมืองอวี้ไห่กลับกลายเป็นสถานที่ที่นางเลือกที่จะใช้เป็นที่หลบภัย ที่นางจะพาลูก ๆ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากสูญเสียทุกอย่างในเมืองหลวงที่แสนโหดร้ายแห่งนี้

"ป้าจวง เราต้องวางแผนเรื่องเงินด้วยนะ ข้าได้เก็บเงินส่วนหนึ่งจากการขายเครื่องประดับของข้าเองก่อนที่เราจะออกมาข้ามีเงินอยู่ไม่มากแต่น่าจะพอสำหรับการตั้งตัวในช่วงแรกข้าวางแผนว่าจะใช้เงินนี้ในการหาที่พักเล็ก ๆ ที่เมืองอวี้ไห่ ก่อนจากนั้นอาจจะเปิดร้านเล็ก ๆ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและลูกๆ"

ป้าจวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวคิดว่าเงินที่เรามีอยู่ตอนนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการตั้งตัวในระยะยาว แต่หากเราประหยัดและหาหนทางเพิ่มรายได้ไปพร้อมกัน น่าจะพอผ่านช่วงแรกไปได้"

เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจเบา ๆ "ข้ารู้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ข้าตั้งใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพาใคร ข้าต้องการพึ่งตัวเองให้มากที่สุด แม้ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากก็ตาม ข้าไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของท่านพ่อหรือใครก็ตาม เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักและเริ่มต้นชีวิตใหม่"

ป้าจวงพยักหน้าจากนั้นนางก็บอกว่าตอนนี้เงินที่พวกนางมีอยู่นั้นประมาณ 900 ตำลึง ในตอนแรกนั้นพวกนางมีเกือบ 1400 ตำลึง แต่เพราะว่าต้องนำมาจ้างรถม้า 2 คัน และยังจ้างคนคุ้มกันมากับรถมาด้วย 2 คน เพราะว่าห่วงเรื่องความปลอดภัย และซื้อขาวของอาหารสำหรับเดินทางไกลอีก ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือเงินอยู่เพียง 900 ตำลึง นี้รวมกับเงินที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาแล้วด้วย เงิน900 ตำลึงจะว่ามากก็มาจะว่าน้อยก็น้อย เพราะว่ามีปากท้องที่ต้องพึ่งพาเงินจำนวนนี้ถึง 7 ปาก และระยะทางที่จะเดินทางนั้นก็ยังอีกไกล เพราะเมืองอวี้ไห่นั้นต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 เดือนทีเดียว ดังนั้นพวกนางทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องประหยัดมากที่สุด แต่หากว่าไม่ไหวจริงๆ นางคิดว่าจะขายเครื่องประดับที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาอย่างน้อยน่าจะมีเงินเพิ่มอีกสัก 300 ตำลึง เจียงซิ่วเหยาวางแผนกับป้าจวง

พูดคุยเสร็จป้าจวงก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง เมื่อไม่มีเสียงใดๆ รบกวนนอกจากเสียงของล้อรถที่บดถนน ใจของเจียงซิ่วเหยาก็ลอยกลับไปนึกถึงตอนที่แต่งงานกับเจียงเฉินอีกครั้ง อดีตเมื่อครั้งที่เจียงเฉินยังเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ นางหันไปหาป้าจวงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และเอ่ยว่า

"ป้าจวง ท่านจำได้ไหม ตอนที่ข้าพบกับเจียงเฉินครั้งแรก เขาเคยให้สัญญากับข้าว่าจะดูแลและรักข้าตลอดไป…" เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำตาเริ่มเอ่อคลอในดวงตาของนาง

ป้าจวงยิ้มอ่อนโยนพลางพยักหน้า "บ่าวจำได้เจ้าค่ะ คุณหนู ตอนนั้นท่านเจียงดูเป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนจริง ๆ รักท่านมากอย่างที่ไม่มีใครสงสัยได้เลย"

"ใช่… เขามีความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังคงแสดงความรักและห่วงใยต่อข้าเสมอ ทำให้ข้าเชื่อมั่นและมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ข้าคิดว่าเขาคือผู้ชายที่ข้าสามารถฝากชีวิตไว้ได้" เจียงซิ่วเหยาพูดพลางกำมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจและความผิดหวัง

ป้าจวงมองเจียงซิ่วเหยาด้วยสายตาเห็นใจ "คุณหนู ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกเจ้าค่ะ ตอนนั้นท่านรักเขามาก ท่านย่อมเชื่อในคำพูดของเขา มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย"

ในตอนนั้นเขาเคยให้สัญญากับนางว่าจะดูแลและรักนางตลอดไป ทั้งสองพบรักกันในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย เจียงเฉินเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนโยนในสายตาของนาง แต่เมื่ออยู่เมืองหลวงได้เพียงหนึ่งปี เจียงเฉินก็ได้พบกับหลิวหลันฟาง คุณหนูตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงผู้ที่มีพ่อเป็นถึงอัครเสนาบดีใหญ่ ครอบครัวของหลิวหลันฟางมีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนัก หลิวหลันฟางนั้นตกหลุมรักเจียงเฉินเข้าอย่างจัง ใครพูดอะไรก็ไม่ย่อมฟังเรื่องที่บอกว่าเขาแต่งงานแล้ว หากว่านางจะแต่งให้เขานางทำได้เพียงเป็นภรรยารองเท่านั้น ซึ่งนางก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แต่งงานกับเจียงเฉินและในที่สุด นางก็ได้เข้ามาเป็นภรรยารองและแล้วตระกูลเจียงมาอย่างยิ่งใหญ่ จนคนทั่วไปนั้นต่างคิดกันว่าใครกันแน่ที่เป็นภรรยาเอก เพราะความที่ตระกูลเจียงนั้นทั้งให้เกียรติและต้อนรับการแต่งเข้ามาของเจียงหลังฟาง

แม้ว่าเจียงซิ่วเหยาจะไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่านางนั้นไม่มีอำนวจที่จะไปคัดค้านอยู่แล้วประกอบกับตระกูลของนางก็เป็นเพียงนายอำเภอเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าไปขัดแย้งกับตระกูลของอัครเสนาบดีหลิวที่เป็นถึงคนสำคัญของฮ่องเต้ หลิวหลันฟางใช้ความอิทธิพลของครอบครัวผลักดันเจียงเฉินให้ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น และเมื่อเขามีอำนาจแล้ว คำสัญญาที่เคยให้ไว้นั้นกลับถูกลืมไปหมดสิ้น เจียงเฉินเริ่มละเลยนางและลูก ๆ เขาไม่ต้องการนางอีกต่อไป เหมือนกับสิ่งของที่หมดประโยชน์ ความรักที่เคยมีต่อกันกลายเป็นเพียงความเย็นชาและไม่สนใจ

นางอดทนกับสิ่งนี้มาหลายปีจนกระทั่งนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง บุตรชายของนางกลับถูกมองว่าเป็นอัปมงคล เพราะเขามีนิ้วเกินมาหนึ่งนิ้ว ทันทีที่เจียงเฉินได้ทราบข่าว เขากลับแสดงสีหน้าแปลกแยกและเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาถึงขั้นเชิญนักพรตมาดูดวงของลูกชาย

ในตอนนั้นเจียงเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่านักพรตที่พวกเขาเชิญมาที่เรือน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาถามนักพรตด้วยเสียงที่สั่นและเป็นกังวลว่า

"ท่านนักพรต ท่านเห็นอะไรเกี่ยวกับลูกชายของข้าหรือไม่?"

นักพรตมองหน้าเจียงเฉินก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ดี เจ้าหนูน้อยนี้อาจนำพาความหายนะมาสู่ตระกูลของท่าน ท่านดูเอาเถิดแม้แต่นิ้วมือที่ควรจะมีห้า เขากับมีถึง หก นิ้ว หากให้เขาอยู่ในตระกูลต่อไป อาจจะเป็นเหตุให้ตระกูลไม่เจริญรุ่งเรือง"

เจียงเฉินถอนหายใจลึก"เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร ท่านนักพรต ข้าไม่อาจยอมให้ตระกูลของข้าต้องลำบากเพราะเด็กคนนี้"

"ทางเลือกอยู่ที่ท่าน"

นักพรตตอบด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ "หากท่านต้องการให้ตระกูลปลอดภัย ท่านต้องหาวิธีจัดการ"

เจียงเฉินพยักหน้าเขาหันไปมองเจียงซิ่วเหยาที่กำลังอุ้มลูกชายอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังปนรังเกียจ เจียงซิ่วเหยามองหน้าเจียงเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม นางเดินเข้ามาใกล้และถามด้วยเสียงสั่น

"ท่านจะทำอะไรกับลูกของเรา"

เจียงเฉินหันไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เขาไม่ควรเกิดมา ซิ่วเหยา ข้าไม่อาจให้เขาอยู่ในตระกูลต่อไปได้"

น้ำตาไหลรินลงมาบนแก้มของเจียงซิ่วเหยา นางกอดลูกชายแน่นขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

"ท่านพูดอะไร ท่านบอกว่าจะรักและดูแลข้ากับลูกตลอดไป ท่านลืมคำสัญญานั้นแล้วหรือ"

เจียงเฉินถอนหายใจหนัก ๆ และหันหลังให้

"ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของตระกูล อย่าทำให้ข้าลำบากใจไปกว่านี้เลย ซิ่วเหยา"

เจียงซิ่วเหยาน้ำตาไหลพราก นางมองเจียงเฉินเดินจากไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย นางก้มลงมองลูกชายที่ไร้เดียงสาและเอ่ยเบา ๆ

"ลูกแม่… แม่จะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"

เจียงหยวนเจี๋ย ลูกชายของนางเติบโตขึ้นมาในเรือนเล็กที่ไกลออกไปจากเรือนใหญ่ เขารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าตนเองถูกรังเกียจ เขามักจะถามมารดาด้วยเสียงแผ่วเบา

"ท่านแม่ ทำไมพวกเขาไม่รักข้าเหมือนคนอื่น ๆ ข้าไม่ดีพอหรือขอรับ"

เจียงซิ่วเหยากอดลูกชายแน่น น้ำตาไหลลงมาในขณะที่นางพูด

"ลูกแม่ เจ้าดีที่สุดแล้ว เจ้ามีค่าเสมอ อย่าให้คำพูดของใครมาทำให้เจ้ารู้สึกน้อยใจ แม่รักเจ้า และจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ"

เจียงหยวนเจี๋ยพยักหน้า แม้ว่าจะยังคงมีความเศร้าในดวงตา แต่เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้รับความรักจากมารดา

"ข้ารักท่านแม่ ข้าจะพยายามไม่ทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจ"

เจียงซิ่วเหยาเสียใจที่ลูกชายของนางต้องมาเผชิญกับความรู้สึกนี้ นางรู้ดีว่าเด็กคนหนึ่งไม่ควรต้องทนรับความเกลียดชังจากผู้ใหญ่ที่ควรจะปกป้องและรักเขา แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านั้นได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการกอดเขาไว้แน่น ๆ ยามที่เขาร้องไห้ และบอกกับเขาว่าเขามีค่าเสมอ นางจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายได้รู้สึกถึงความรักและความปลอดภัย แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากและความรังเกียจจากคนรอบข้าง นางก็จะไม่ยอมแพ้ที่จะปกป้องและทำให้ลูกชายของนางมีความสุขให้ได้

นางรู้ดีว่าไม่มีที่ยืนสำหรับนางและลูกในตระกูลเจียงอีกต่อไป ความรักที่นางเคยมีให้เจียงเฉินได้ตายจากไปพร้อมกับความรังเกียจที่เขามีต่อลูกชายของนาง นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกของนางได้อีกต่อไป และจะไม่ยอมให้อำนาจใด ๆ มากดขี่นางและลูกอีกแล้ว

ความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งนั้นทิ่มแทงลึกลงไปในหัวใจ สิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดที่สุดคือคำสัญญาที่เขาเคยให้ ไม่เพียงแต่ลืมรักที่เคยมี เขายังลืมแม้กระทั่งลูก ๆ ของพวกเขา เขาไม่ต้องการลูกๆ ของนางอีกต่อไป เหมือนกับที่เขาไม่ต้องการนาง ความผิดหวังและความเจ็บปวดกลายเป็นแผลลึกในใจ นางรู้สึกถูกทรยศอย่างแสนสาหัส คำสัญญาที่เคยหอมหวานกลับกลายเป็นเพียงถ้อยคำลวง นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความแค้นและความผิดหวังแผ่กระจายออกมา นางสาบานกับตนเองว่า จะไม่มีวันยอมให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้อีก นางจะไม่อ่อนแอ ไม่พึ่งพาคนอื่น และจะไม่ยอมให้คำสัญญาที่ว่างเปล่ามาทำร้ายนางได้อีกต่อไป

ป้าจวงเห็นท่าทางเหม่อลอยและมือที่กำแน่นของคุณหนูของนาง นางรู้ว่าคุณหนูคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงยื่นมือไปจับมือของคุณหนูของนางและเอ่ยขึ้นมาว่า

"บ่าวจะอยู่เคียงข้างคุณหนูเสมอเจ้าค่ะ เราจะร่วมมือกันผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้"

เจียงซิ่วเหยาพยักหน้า และมองออกไปยังท้องทุ่งที่ทอดยาว นางรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่นางก็พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง ด้วยความหวังที่จะสร้างชีวิตใหม่ให้กับตนเองและลูก ๆ

เจียงซิ่วเหยาหันไปกอดลูกสาวและลูกชายไว้ใกล้ตัว พลางมองใบหน้าของพวกเขาที่หลับใหลอย่างอ่อนแรง เจียงหย่าเสวี่ยยังคงมีคราบน้ำตาบนแก้มของนาง ในขณะที่เจียงหยวนเจี๋ยยังคงขมวดคิ้วราวกับกำลังฝันร้าย เจียงซิ่วเหยาเอื้อมมือไปลูบหัวลูกทั้งสองอย่างอ่อนโยน นางรู้ว่าพวกเขายังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างต่อจากนี้ แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น นางจะปกป้องลูก ๆ ให้ถึงที่สุด

"ท่านแม่…เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?" เจียงหย่าเสวี่ยลืมตาขึ้นมาถาม น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังฝัน ซิ่วเหยามองลูกสาวด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูมั่นใจ

"เรากำลังไปเมืองอวี้ไห่จ้ะ ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของท่านยายของเจ้า ท่านแม่เคยไปที่นั่นเมื่อตอนยังเด็ก มันเป็นที่ที่สวยงามและเงียบสงบมาก เจ้าจะต้องชอบแน่ ๆ"

เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง เจียงซิ่วเหยาใช้มือลูบที่หน้าผากของนางเมื่อเห็นว่านางตัวร้อนมาก นางก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่าลูกสาวของนางนั้นคงจะไม่สบายแน่แล้ว จากนั้นก็ให้ป้าจวงหาผ้ามาเช็ดตัวให้ลูกสาวของนาง เมื่อเห็นว่าลูกสาวหลับไปอีกครั้ง นางก็มองไปนอกหน้าต่างรถม้า ท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดทําให้นางรู้สึกถึงอิสรภาพที่นางไม่เคยได้สัมผัสในเมืองหลวง เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่นางและลูก ๆ จะได้เริ่มต้นใหม่ แม้นางจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ใจของนางก็ยังเต็มไปด้วยความหวังเล็ก ๆ ที่พวกเขาจะสามารถหาความสุขและความสงบสุขได้ที่นั่น

**** น้องเริ่มป่วยแล้ว เพิ่งจะออกจากเมืองหลวงเอง เอาใจช่วยท่านแม่กันเถอะ ถูกแล้วที่คิดว่า เจ็บแล้วจำคือคน….****

******** รีดที่รัก อย่าลืมกด หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์มาเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะค่ะ อยากได้กำลังใจเยอะๆ อยากปั่นๆ ****

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...