สุรเชษฐ์ แพลนส่งหนังไทยสู่ตลาดโลก สร้างหนังหลากหลายแนว ตอบโจทย์คนดู
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M STUDIO “สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์” พร้อมจับมือพันธมิตรส่งหนังไทยสู่ตลาดโลก แพลนสร้างหนังหลากหลายแนว ตอบโจทย์คนดู
นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M STUDIO เปิดเผยว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปี 2567 ว่า เป็นปีที่น่ายินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่สามารถมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด สร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้รับการยอมรับเป็น “TOLLYWOOD” (Thailand + Hollywood) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยในปี 2567 เป็นปีแรกที่ภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้มากถึง 54%มากกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดซึ่งอยู่ที่ 38% และ ภาพยนตร์อื่น ๆ 8% ของมูลค่าตลาดรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยที่4,485 ล้านบาทจากภาพยนตร์ที่เข้าฉายรวม326 เรื่อง
ในปี 2568 มีแพลนสร้างภาพยนตร์ไทยที่หลากหลายออกสู่ตลาดโลก และพร้อมจับมือพันธมิตรทั้ง ช่อง 3, Workpoint, Mono Group, Kantana, Karman Line Studio และ Plan B สร้างภาพยนตร์ไทย กว่า 20 เรื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับ M STUDIO และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายตลาดการส่งออกภาพยนตร์ไทยไปยังตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น
และ นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องต้นทุนต่อเรื่องว่าเพิ่มขึ้นไหม โดยเผยว่า “ขึ้นอยู่กับสตอรี่ แต่ต้นทุนใกล้เคียงเดิม ยิ่งทำสเกลเยอะ ต้นทุนลด โปรดิวเซอร์หรือโปรดักชั่นเฮาส์ที่ทำกับเรา เนื่องจากเราทำโมเดลแบบฮอลลิวูดเลย”
ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในปีนี้มากขึ้นคืออะไร? “สาเหตุหลักเลย เราลงทุนในอุตสาหกรรมที่เรากำลังเติบโต คนไทยให้ความนิยมกับหนังไทยมากขึ้น ปีที่แล้วสำเร็จ 8 เรื่อง ตอบได้ชัดเจนว่าตัวภาพยนตร์เองมีคุณภาพมากขึ้น คนดูมากขึ้น และเรามีรายได้อื่น หนังไทยเดินทางไปต่างประเทศ จำนวนมาก เราได้รายได้ค่อนข้างเยอะมาก สตรีมมิ่งที่อยู่ในเมืองไทยหรือต่างประเทศ ก็มาซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยไปฉาย ก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ต้องขอบคุณแบรนด์ต่างๆ ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศที่เข้ามาสนับสนุนให้หนังไทยเติบโตด้วย ได้รับความนิยมมาก การทำหนังไทยวันนี้ต่างจาก 10 ปีที่แล้วมาก คิดว่าความเสี่ยงน้อยลงเยอะเลย เพราะเรามีช่องทางการจำหน่าย เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ถือเป็นเรื่องดีมาก ข้อดีคือมีช่องทางหารายได้มากขึ้นเรื่อยๆ”
ความท้าทายมากขึ้นแค่ไหนในปีนี้? “ความคาดหวังของผู้ชมสูงขึ้นเรื่อยๆ เราจะไม่ทำหนังที่ไม่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นปีนี้ท้าทายมาก ทั้งการสร้างคุณภาพ สร้างความคิดสร้างสรรค์ที่ตอบสนองคนดูได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในความท้าทายก็มีความดีงามอยู่ คนไทยดูเหมือนเอาใจช่วยเรา ดูเหมือนให้อภัยเรา มีอะไรผิดพลาดกันได้บ้าง คนดูก็เข้ามาดูหนังอยู่”
หนัง “ธี่หยด” จาก 500 ล้าน ไปเป็น 800 ล้าน เราเรียนรู้อะไรจากการสร้าง และในแง่ของ Marketing? “M studio เราให้ความสำคัญกับคนดูมาก เรียกได้ว่า ธี่หยด ภาคหนึ่งก็ประสบความสำเร็จมากๆ 500 ล้าน เราโฟกัสลูกค้ามาก อะไรที่เขาชอบ อะไรที่เขาไม่ชอบ M studio ลงไปทำงานตั้งแต่เริ่มต้นเลย เริ่มตั้งแต่สคริปต์เลย ทีมมาร์เก็ตติ้ง กับทีมครีเอทีฟ ทำงานร่วมกันเลย เราเกิดการเรียนรู้ว่าอะไรทำให้ ธี่หยด ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ จะว่าไปก็มีข้อดีข้อเสีย โซเชียลค่อนข้างเข้าถึงทุกคน ข้อด้อยคือพลาดแล้วก็พลาดเลย แต่ผมว่าในมุมนี้มีข้อดีข้อหนึ่งก็คือ ในเมื่อทุกคนพร้อมจะตอบเราอยู่แล้วว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เรามาฟิลเตอร์ว่าสิ่งที่เขาชอบ 10 อย่าง อะไรควรเป็นอย่างที่สำคัญที่สุดในบรรดา 10 ข้อ เราตัดสินใจหนังภาคสอง ซึ่งใน 10 ข้อ คนชอบมุมแอ็คชั่น ธี่หยด ภาคสองเกิดเป็นอารมณ์ตีลังกา พีกในพีก ทุกซีนเราไปสุดหมด”
เทสต์ของคนดูหนังเปลี่ยนไปเยอะไหม ส่วนใหญ่จะเป็นหนังผี คอมเมดี้โอกาสที่หนังไทยจะพัฒนาเป็นแนวอื่นมีไหม? “อุตสาหกรรมมันรันด้วยหนังตลกมาทั้งชีวิต เพราะเป็นหนังผีตลก แล้วคนไทยก็คุ้นกับผีตลก เพราะฉะนั้นคนไทยก็ไม่ได้ดูหนังอื่นด้วย ผู้สร้างก็ไม่สร้างหนังแนวอื่น คนไทยอีกกลุ่มนึงก็เลยไม่ดูไปด้วย ผมเข้าใจว่าเกิดจากหลังโควิด ซึ่งเป็นความคิดส่วนตัวอาจจะผิดก็ได้ ในช่วงสามปีที่พวกเราอยู่บ้าน เราเสพคอนเทนต์ ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ไทย เราเสพคอนเทนต์ทั่วโลก เขาได้เรียนรู้คอนเทนต์ แปลกๆ ไปหมดเลย เพราะฉะนั้นแลนด์สเคปคนดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รสนิยม ความชอบ เปลี่ยนหมดเลย กลับกันถ้าถามว่าคนเขียนบท ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ก็อยู่บ้านเหมือนกัน พอเขาอยู่บ้านหมดเลย เขาก็ทำการบ้านได้เยอะ อุตสาหกรรมหนัง 2023 ทำไมโต เกิดจากทุกคนเอาหนังคุณภาพสูงออกมา ย้อนกลับไปดู อันดับหนึ่งของ 2023 ก็ไม่ใช่หนังผีตลกแล้ว สัปเหร่อ เป็นดราม่าด้วยซ้ำ อันดับสองเป็น ธี่หยด ก็ไม่ตลกเลย เพราะฉะนั้นแนวเริ่มแตกแขนงไปเรื่อยๆ อย่างวิมานหนาม ก็ไม่ใช่หนังตลก ผมว่าไม่ใช่หนังผีตลกอีกต่อไป คนที่เป็นผู้สร้างก็เปิดหัวใจ เปิดความคิดสร้างสรรค์มากเลย ส่วนคนดูก็เหมือนยอมรับทุกแนวไปหมด ไม่ต้องห่วงว่าหนังจะย้อนกลับไป หลานม่า ก็ดราม่ามาก ผมว่าคนไทยเปิดใจรักทุกแนวแหละ เล่นกันสมบทบาท คุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ”
หนังมีคุณภาพมากขึ้น ราคาค่าตั๋วจะเพิ่มขึ้นไหม? “ไม่ได้ขึ้นตาม อาจจะลดลงด้วยซ้ำ พอโรงหนังได้รับความนิยมมา ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย เป็นอินเตอร์เทนเมนต์ที่ราคาถูก ต่างจังหวัดราคาอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ ผมว่าเป็นเรื่องสเกล โรงหนังวันนี้ไม่ได้มีเฉพาะกรุงเทพแล้ว เราขยายไปเกือบทั่วประเทศเลย สเกลของโรงหนังก็รองรับการเติบโต”
ปีนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าจะแข็งแรงเหมือนเกาหลี ญี่ปุ่น ต้องใช้เวลานานไหม?“ผมคิดว่าไม่นาน เราไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนที่หนังไทยชนะฮอลลีวูด ถ้าย้อนไป 20 ปีที่แล้วหนังเกาหลีก็ไม่มีคนดู แต่เขาใช้เวลา 10 กว่าปี แต่วันนั้นไม่มีสื่อมวลชน อยากรู้ว่าอะไรดีเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่มีออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่วันนี้เรามีทุกอย่างหมดเลย ในมุมหนังไทยเรากลับมาแข็งแรงแล้ว เราไม่เคยขายเมืองนอกเยอะขนาดนี้ มันแปลว่าเราแค่เริ่มต้นแค่นั้นเอง”
ทำไมหนังผีสำเร็จในเวทีโลก และเป็นจุดขายของเรา? “ในมุมของโรงภาพยนตร์ อย่างโรงภาพยนตร์เหมือนสวนสนุก คนเข้าโรงภาพยนตร์เพราะหวังสนุก ในสวนสนุกมีเครื่องเล่นเยอะเลย แต่สังเกตไหม คนต่อคิวเยอะสุดคือโรลเลอร์โคสเตอร์ หนังผีคือโรลเลอร์โคสเตอร์ ของโรงหนังนั่นเอง เป็นหนังที่ไม่ดูในโรงไม่ได้ หนังผีเป็นหนังที่เหมาะกับโรงภาพยนตร์ หนังไทยประสบความสำเร็จที่สุดในต่างประเทศก็คือหนังผี”
“ดูจากหน้าหนังแล้ว คิดว่าปีนี้คงจะประสบความสำเร็จมาก คงมั่นใจได้แล้วว่าหนังไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ผมคอนเฟิร์มในมุมต่างประเทศว่าทิศทางออกมาเป็นแบบนี้แน่นอน เรากำลังก้าวเข้าสู่การเป็นลีดดิ้งของเอเชีย อย่างญี่ปุ่นก็จะเป็นพวกอนิเมชั่น หนังเกาหลี แล้วก็เป็นหนังไทยนี่แหละครับ คิดว่าตอนนี้เราอยู่บนแมพของตลาด คิดว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น และกำลังก้าวเข้าสู่ในความเป็น global”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สุรเชษฐ์ แพลนส่งหนังไทยสู่ตลาดโลก สร้างหนังหลากหลายแนว ตอบโจทย์คนดู
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th