โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ฉันทะลุมิติมามีสามีเป็นยาจก

นิยาย Dek-D

อัพเดต 29 ธ.ค. 2566 เวลา 14.56 น. • เผยแพร่ 29 ธ.ค. 2566 เวลา 14.56 น. • วอลจู
ถ้าได้เป็นตัวร้ายผู้ร่ำรวยมีเงินทองมากมายเธอจะไม่โต้แย้งแต่นี่ฉันทะลุมิมามีสามีเป็นยาจก

ข้อมูลเบื้องต้น

เมื่อพนักงานสาวยุคปัจจุบันอย่างเธอต้องทะลุมิติเข้าไปในอดีต มันก็ดีถ้าได้ทะลุมิติไปเป็นนางร้ายผู้แสนร่ำรวย แต่นี่! ฉันทะลุมิติมามีสามีเป็นยาจก

ให้ตายเถอะสวรรค์!!! กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว

เพราะความบังเอิญที่ปรากฎตัวต่อหน้าบุรุษผู้นนั้น

เพราะเขาพบเห็นนางเป็นคนแรก

เป็นเหตุให้คนตั้งคู่ต่อร่วมผูกผมเคียงคู่กันในกระท่อมทรุดโทรมท้ายหมู่บ้าน

สามียาจกผู้แสนเกียจคร้านกับภรรยาสาวยุคปัจจุบันที่ต้องหาเงินเลี้ยงชีพ

ทว่านับวันไปแล้วสามียาจกผู้เกียจคร้านของนางยิ่งทำตัวคล้ายมีความลับที่ปิดซ่อนไว้ไม่อาจบอกให้นางได้รับรู้ ยิ่งนางพยายามหาคำรอบ เขาก็ยิ่งเหยียบมันไว้ใต้ดิน

อาซานแท้จริงท่านมีภรรยาแล้วใช่หรือไม่!!?

ฝากกดติดตามนิยายใหม่ของไรท์และกดหัวใจให้ด้วยนะคะ

เริ่มอัพ : 01/11/2566

บทนำ

เพล้ง!

เสียงถ้วยกระเบื้องถูกปัดล่วงลงสู่พื้นจนแตกดังสนั่นกลางท้องพระโรง ขุนนางซ้ายขวาพลันตื่นสะดุ้ง หัวใจเต้นระทึกราวกับตีกลองรั่ว เหงื่อไหลทั่วร่างจนเย็นเฉียบ

ขุนนางใหญ่รายงานประกาศข่าวการหายตัวไปของเฟยหลงชินอ๋องนานนับกว่าสิบวัน จึงตั้งข้อสรุปได้ว่าอาจจะสิ้นพระชนม์ชีพหลังออกไปล่าสัตว์

"บัดซบ! อาหลงหรือจะถูกลอบสังหาร พวกเจ้าเปิดตาดูเถิดมังกรเยี่ยงเขาจะมีทางถูกลอบสังหารได้อย่างไร"

หากเอ่ยถึงคนผู้นี้หรือเฟยหลงชินอ๋องที่กล่าวมา ทั่วแคว้นต่างรับรู้ว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใด้เทียบเคียงได้ ทั้งมีนิสัยร้ายกาจ ไม่ชมชอบผู้ใดล้วนฆ่าทิ้งเสีย ทว่าหลังจวนกลับมีนางบำเรอเลอโฉมมากมายที่เต็มใจเข้ามาอยู่ด้วยหน้าตาที่หน้าเหลาประดุจเทพเซียนหากแต่ไร้หงษ์เคียงข้าง และยังทรงเป็นพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ร่วมอุทรองค์ปัจจุบันที่รักและตามใจยิ่งกว่าบุตรสาวบุตรชายของตนเสียอีก นับเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชสำนักทั้งเบื้องบนเบื้องล่างทั้งหลาย

บาปบุญคุณโทษล้วนตอบสนองคนชั่วโดยเร็วมิใช่หรือ เฟยหลงชินอ๋องเค้นฆ่าผู้คนมากมายราวกับผักกับปลาสมควรตายแล้ว แต่มีหรือผู้ใดจะกล้าออกปากว่าหากไม่กลัวคอหลุดจากบ่า

"เช่นนั้น-"

"ประกาศออกไปว่าอาหลงทรงอารมณ์ขุ่นเคือง จวนชินอ๋องงดรับแขกไม่มีกำหนด! หากมีข่าวหลุดออกไปว่าอาหลงถูกลอบสังหารข้าจะบั่นคอผู้นั้นทิ้งเสีย!!"

ณ กระท่อมท้ายหมู่บ้าน

ร่างหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังท่าทางสงบนิ่งท่านกลางเสียงจ้อกแจ้กของความวุ่นวายทั้งหลาย แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องความร้อนระอุยิ่งเพิ่มขึ้น ชายหนุ่มนามอาซานเตรียมหันหลังเดินจากไปเงียบๆ ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

"อาซานหยุดก่อน…"

"กระไร"

"เจ้าพบเจอนางผู้แรกไม่ใช่หรอกหรือ ใยไม่พานางกลับเรือนด้วยเล่า จะปล่อยให้นางนอนตรงนี้ได้อย่างไร"

อาซานไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ใช้สายตานิ่งๆ ดุจเหยี่ยวนั่นเหม่อมองหญิงสามมอมแมมผู้นั้นอย่างนึกรังเกียจความสกปรกทั่วร่าง

"พวกเจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือเช่นนั้นก็พานางกลับบ้านเสีย"

ชายหนุ่มผู้นั้นได้แต่ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธเมื่อถูกอาซานตอกกลับหน้าซื่อๆ ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องใช้อำนาจที่มีบีบบังคับอีกฝ่ายอย่างยกตนข่มท่าน

"ดี! ดียิ่งนัก! เช่นนั้นข้าจะบอกท่านพ่อให้จัดการแต่งของเจ้ากับนางเสีย ทั้งยังจะป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่าเจ้าขืนใจนางแล้วไร้ความเป็นสุภาพบุรุษนิสัยต่ำช้า!!"

๑ ทะลุมิติย้อนกลับมา

เรือนไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่งท้ายหมู่บ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ริมทางเดิน ไอความร้อนพัดโชยตามแผดเผาหญ้าจนมอดไหม้ แก้มขาวนวลก็เช่นกัน ยามนี้ถูกเฉียดคมจนเป็นรอยขีดบาดข้างแก้มจนแดงเถือก

ที่นี่ที่ไหน

เธอตายไปแล้วเหรอ

อย่าบอกอะไรโง่ๆ นะว่าเธอทะลุมิติมา

ทันทีที่รู้สึกตัวเธอก็ถูกจับแต่งงานร่วมผูกผมกับบุรุษหน้าน้ำแข็งผู้หนึ่งแล้ว นับจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันเอาไฉ่หงยังคงเอาแต่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงสาวยุคปัจจุบันอย่างเธอตอนนี้ทะลุมิติย้อนกลับมาในอดีตแบบนั้นเหรอ

เหลือเชื่อเกินไปแล้ว

พนักงานสาวออฟฟิตที่ทำงานงกๆ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำจะทะลุมิติมาได้ยังไงหรือจริงๆ แล้วเธอทำงานหนักจนตาย

ถ้างั้นบอกหน่อยได้ไหม ถ้าเธอทะลุมิติมาแล้วเป็นอีกคนเหมือนในนิยายแล้วทำไมไม่มีความสนจำมากมายแล่นเข้าหัวล่ะ แต่นี่เธอมาด้วยสมองที่ขาวโพรงที่แต่ความจำในโลกก่อน

ไฉ่หงไม่มีว่าจะคิดวิเคราะห์หาคำตอบยังไงก็ยังไม่มีความสมเหตุสมผลสักนิดก่อนจะมีเงาดำๆ เดินผ่านไป

“เดี๋ยวก่อน…เอ่ออ ท่านจะไปไหน”

ดวงตาสีน้ำสนิทเพียงปรายมองเท่านั้น เขายืนนิ่งสบตานางนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปาก “เข้าป่า”
เข้าป่าหาของกินใช่ไหม แบบนั้นก็ดีเลยนับแต่นางทะลุมายังไม่ได้ลิ้มลองกินเนื้อสัตว์สักครั้ง ทุกมื้อล้วนแต่กินผักกับแป้งหมั่นโถวเท่านั้น

“เช่นนั้นไปด้วยได้ไหม”

“เกะกะ”

ไฉ่หงได้ยินแบบนั้นก็คร้านจะใส่ใจหาเรื่องอีกฝ่าย เอาเถอะ เขาเป็นสามีนางที่ต้องทนอยู่ร่วมกันจนกว่านางจะหาทางกลับไปได้ มีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู

“ท่านฆ่าล่าสัตว์แล่เนื้อมาได้ไหม”

“ข้าไม่ฆ่าสัตว์"

เหอะ! ไม่ฆ่าก็ไม่กิน นางก็ไม่ง้อเข่นกัน

ไฉ่หงรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์แล้ว ไฉนบุรุษผู้นั้นยังไม่กลับมาอีกไม่ใช่เพราะลื่นตกเขาไปแล้วหรอกนะ มือเรียวยกขึ้นวนลูบท้องน้อยๆ ที่ส่งเสียงร้องจ้อกแจ้กตั้งแต่เที่ยงจรดเย็น เธอจะเป็นแบบนี้ถ้าในครัวเหลืออะไรไว้ให้บ้างแต่นี่แม้แต่เศษข้าวขดหมอยังไม่มีหลงเหลือ

เขาเป็นยาจกเหรอ?

เหอะ ทะลุมิติมาแทนที่จะได้เป็นตัวร้ายผู้แสนร่ำรวยแต่นี่อะไร เธอมาอยู่กับยาจกแบบนี่เหรอ สวรรค์ลำเอียงเกินไปแล้วไหม หรือชาติที่แล้วเธอไปขายชาติหรือทำอะไรให้ไม่พอใจเลยลงโทษกับแบบนี้ ไฉ่หงสถบด่ามากมายอยู่ในใจหารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังเพ่งมองอยู่

นางไม่สมประกอบรึ?

นับว่าที่ผ่านมาแม้จะทำคล้ายไม่สนใจภรรยาผู้นี้ของตนแต่อาซานกับจับตามองอย่างไม่ไว้วางใจ ท่าทีที่ผิดแปลกจากผู้คน วาจาพิกลที่เอ่ยทีไม่เข้าใจ แท้จริงแล้วนางเป็นผู้ใดกันเอง

หลายวันผ่านมา

“อาซานนน”

“อาซานนน ท่านอยู่หรือไม่”

น้ำเสียงหวานตะโกนร้องเรียกหาอีกคน เมื่อตื่นขึ้นมากับพบความเงียบเหมือนวันที่ผ่านๆ มา เขาที่ใดก็ไปเถิดแต่ช่วยเตรียมอาหารไว้หรือปลุกนางลุกมากินข้าวด้วยได้หรือไม่

บางวันเป็นข้าวต้นเกลือ

บางวันเป็นผักต้นเกลือ

หรือเป็นหมั่นโถวจิ้มเกลือ

รันทนเกินไปแล้ว!!!

สรุปแล้วนางทะลุมิติมามีสามีเป็นยาจกที่แสนจะขี้เกียจคร้าน ชายอื่นในหมู่บ้านมีแร่ออกไปหาเงินส่วนสามีนางวันๆ เอาแต่เข้าป่าไม่รู้จักหาเงินเข้าบ้าน น่าโมโหยิ่งนัก

“น่ารำคาญ”

สามคำง่ายๆ ถูกเอ่ยออกมาจากอีกคนทำให้นางตั้งสติได้ พูดจาไม่เข้าแต่เช้ามัรสมควรให้อดข้าวนัก คอยดูเถิดนางหาเงินได้เมื่อไหร่จะไม่ง้อเด็ดขาด

“ข้าหิว”

อะไร?

เศษหมั่นโถวเล็กๆ ถูกบิออกแล้วยืนมาตรงหน้านางทันที เข้าใจอะไรผิดหรือไม่สามี ข้าไม่ใช่ไก่นะ

“ข้าไม่อิ่ม”

“เช่นนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว”

นางหูฝาดหรือ

“หมายความว่าเช่นใด”

ใบหน้านิ่งของอาซานหรือสามีที่ถามคำตอบคำทำเอาคนใจร้อนอย่างนางกระชากสาบคอเสื้อมาคาดเค้นเอาคำตอบบัดเดี๋ยวนี้

“ไม่มีอะไรให้กินอีกต่อไป”

“มารดามันเถอะ ท่านเป็นยาจกใช่หรือไม่ หากเช่นนั้นจึงไม่รู้จักออกบ้านไปหางานทำเสียไยจึงต้องเข้าป่าทุกวันในนั้นมีงเงินให้ท่านใช้หรือกระไร”

นางร่ายยาวเอ่ยออกมาอย่างอดสู่ไม่พักเว้นช่วงให้หายใจแม้สักวินาทีหนึ่ง ทว่าทำไมคนตรงหน้ายังเอาแต่นิ่งเฉยอีก ควรจะสำนึกผิดไม่ใช่รึ

“แล้ว…”

“บัดซบมารดามันเถอะ” ไฉ่หงยันกายลุกขึ้นหมุนตัวหันหลังเส้นทางคล้ายเดินออกจากไผที่ใดสักหน

“จะหย่ากับข้าแล้วหรือ”

“ไปหาเงิน”

ไว้ค่อยมาอย่ากันเมื่ออนางร่ำรวยแล้วกันจากนี้ก็ฝันไปเถอะ

๒ ประเดิมด้วยการก่อเรื่องกลางตลาด

“เด็กโง่”

อาซานอยากจะหยั่งรู้ว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ หาเงินหรือ นางคิดว่าเพื่อแค่เดินตามทางถนนจะมีงานให้ทำ จะมีเศษเงินตกหล่นให้เก็บง่ายเช่นนั้นเชียวรึ

ถ้าเช่นนั้นปานนี้เขาคงมีงานทำแล้วกระมัง

กระท่อมหลังเล็กๆ ทรุดโทรมที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เงียบสงบลงเช่นเคย ยามนี้ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นกลางหัว อาซานนั่งจิบน้ำที่หระหนึ่งน้ำชาชั้นดีอยู่แคร่ลานกว้างแสงแดดสาดส่องจ้าร้อนระอ ประหนึ่งถูกแผดเผาทั้งเป็น แถบนี้เมื่อร้อนก็ร้อนจนจะหลอมละลายเมื่อหนาวก็เย็นจับลึกเข้าถึงกระดูก

รู้ตัวอีกทีเขาก็มาฤดูกาลมาได้ถึงสองครั้งนับเกือบครึ่งปีเสียแล้วกระมัง หมู่บ้านที่เงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านไร้เรื่องคอยให้ปวดหัว เปรียบเสมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างหนึ่ง

อยู่กับข้าโชคร้ายหน่อยเสียเพราะข้าขี้คร้านตัวเป็นขนขี้เกียจทำงานหาเพียงเศษเงินเท่านั้น

ชายหนุ่มแหงนหน้าหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับบรรกาศพักผ่อนหย่นใจอย่างสงบสุขโดยที่หารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังสาดส่องมอง

เสียงสวบสาบของใบหน้าทำให้เขาต้องพลันลืมตาขึ้น “ผู้ใด”

“จงออกมาเสีย”

ร่างท้วมร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นหนึ่งที่ทางเข้ากระท่อม เสื้อผ้าสีซีดมีรอยปะชุนแก้ตัวผืน “เอ่ออ.. อาซานแย่แล้ว”

“กระไร”

มีอะไรแย่เสียกว่าเขามีภรรยามิทันตั้งตัว

“ภรรยาเจ้ามีเรื่องทะเลาะกับลูกสาวพ่อค้าหมูในตลาด”

บัดซบ!

บนท้องถนนกลางตลาดมีฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนมุ่งล้อมเป็นวงกลมรอชมความครึกครื่นก็ไม่ปาน เสียงสตรีตะโกนดังโต้ตอบกันสนั่นหวั่นไหวโดยไม่สนสายตาผู้คนทั้งหลาย

‘ลู่หลิน’ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของสกุลลู่พ่อค้าหมูร่ำรวยผู้หนึ่งในหมู่บ้าน

ตั้งนางเกิดมามารดาก็ด่วนจากไปแล้ว เถ้าแก่ลู่จึงรักมากและถนุถนอมตามอกตามใจมาเสียตั้งแต่เด็ก ไม่ว่านางอยากได้อะไรล้วนหาประเคนมาให้ไม่ขัดใจเลยสักครั้ง เป็นเหตุให้นางกลายเป็นหญิงสาวผู้มั่นอกมั่นใจไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องถูกต้องเพราะคอยมีบิดาหนุนหลังอยู่เสมอ

ในตอนก่อนที่จะเกิดเรื่องไฉ่หงเดินเตล็ดเตร่ล่องลอยไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ นางกำลังคิดถึงที่ที่จากมาและเรื่องราวหลังจากที่จากมาจะเป็นอย่างไรต่อ เจ้านีโม่สุนัขแสนรักจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีนางแล้ว ขณะกำลังเหม่อลอยกับมีสิ่งๆ หนึ่งชนนางอย่างแรงจนเซถอยหลังไปก้าว ก่อนที่เสียงของผู้คนจะดังเข้าโสตประสาท

นางเดินมาถึงตลาดแล้ว

“เจ้าเด็กขอทานขี้ขโมยหยุดบัดเดี๋ยวนี้”

เสียงแวดแสบแก้วหูดังขึ้นมาไกลพร้อมกับหญิงสาวที่เดินแหวกฝูงชนเข้ามาใกล้ๆ เรื่อย

ไฉ่หงพลันก้มหน้ามองสิ่งที่ชนตนเมื่อครู่ เป็นเด็กชายสภาพมอมแมมผู้หนึ่งสูงระดับเอวของนาง มือข้างหนึ่งกำลังกำชายเสื้อนางไว้ส่วนอีกข้างคล้ายถือถุงบางอย่างอยู่

“พี่สาวช่วยข้าด้วย”

“เจ้าขโมยของนางมาไหม”

นางมองเด็กชายที่ปฏิเสธส่ายหัวกับหญิงสาวผู้นั้นสลับกันไปมาก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเอาตัวบังอีกคนไว้

นี่มันเรียกว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเห็นได้ชัด

“หลบไป” ลู่หลินนับว่าโมโหโกรธเกรี้ยวถึงขั้นสุด ไม่ว่าใครจะฉุดจะดึงไว้ก็มิอาจทำได้เหตุเพราะกลัวนางจะลงไม้ลงมือแทน แต่สตรีผู้นางนี้เป็นใครกล้าขึ้นประชันหน้าไม่หลบหลีกไร้ความเกรงกลัวนัก

ช่างไม่กลัวตาย

“เขาบอกว่าไม่ได้ขโมย” ไฉ่หงออกปากฏิเสธแทน

“หึ เจ้าเชื่อเด็กขอทานโสโครกนั้นจริงรึ เขามาซื้อหมูร้านค้าคนสุดท้ายหากแต่ปิดร้านยามนับเงิน เงินกับไม่ครบหากมิใช่เขาจ่ายเงินไม่ครบแล้วชิงเอาหมูไปนี่มิใช่เรียกว่าขโมยหรอกหรือ”

ผู้คนรอบตลาดได้ยินล้วนให้ความสนใจเริ่มเกาะกันจับกลุ่มล้อมรอบมุ่งดูละครฉากใหญ่ ไม่ต้องรอบถึงตอนจบก็รู้ว่าผู้ใดจะชนะไปได้ซะอีก นอกจากลู่หลิน

“ตลกเกินไปแล้ว ตอนเขาจ่ายเงินเจ้าไม่ดูให้ชัดหรอกหรือถึงกล้าจะปล่อยเขาไปแล้วไฉนตอนปิดร้านนับเงินพอเงินหายจะมาโทษเขาว่าเป็นตัวขโมย ข้าว่ามิใช่ลูกน้องในร้านเจ้าหรอกหรือที่เป็นตัวขโมย”

ไฉ่หงร่ายยาวร่วกับว่าเป็นคนที่นี้มานานเสียอย่างนั้น เพ่งมองอีกฝ่ายที่ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธพร้อมปะทะ

“นี่เจ้าจะหาว่าข้าใส่ร้ายเขางั้นหรือ!!!” ลู่หลินไม่เคยถูกผู้ใดโต้เถียงให้อับอายมาก่อนจึงเริ่มที่จะพาลไปทั่ว “ลูกน้องของล้วนทำงานอยู่ร้านเกือบครึ่งชีวิตของพวกเขาหากเป็นขโมยไฉนข้าผู้นี้จะไม่รู้เล่า”

ไฉ่หงกรอกตามองบน

โจรยังหากินกับความเชื่อใจนี่นับประสาอะไรกับลูกน้องและนายจ้างที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน

“เจ้าตรวจสอบดูแล้วหรือยัง หากยังจงกลับไปตรวจดูเสียว่าผู้ใดมีพิรุธและหากเด็กที่อ้างว่าขโมยจริงข้าจะรับผิดชอบเอง”

ลู่หลินถูกต้อนให้จนมุมเอาหลักหารเหตุผลเข้าสู้มิใช่การเถียงไปเพื่อเขาชนะเช่นที่เคยเป็นมาก่อน

นางเริ่มร้อนรนกระวนกระวายหากวันนี้นางแพ้บ่ายต่อสตรีและเด็กขอทานนี่วันข้างหน้าต้องไม่มีใครให้เกียรติเห็นหัวนางเป็นแน่ “เหอะ! เจ้าเป็นสตรีบ้านใดไยไม่ข้าลู่หลินไม่เคยพบเห็นหน้า” ในเมื่อมีบิดาคอยหนุนหลังนางฉลาดจึงใช้บิดาอ้าง

นั่นสิยามนี้นางไม่มีบ้าน

ไฉ่หงได้แต่ยืนอำๆ อึ้งๆ เสียงหลังอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแบบนันลู่หลินจึงเริ่มได้ใจสบโอกาสพลิกพันให้ตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า

“หรือว่า? เจ้าเป็นพวกของทานไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเดียวกับเด็กนั้นอย่างงั้นรึ ข้าก็ว่าอวดดีจริงแท้ช่างไม่ประมาณเสียเลย”

“นางเป็นภรรยาข้า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะแหวกกลางฝูงชนเข้ามา “หมูชิ้นนั่นที่เขาขโมยมาราคากี่ชั่ง”

อาซานบุรุษที่นางหลงรักตั้งแต่แรกพบ

“อาซาน…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ลู่หลินตั้งสติได้เริ่มวางท่าทางสุขุมเหนียมอายดั่งดรุณีน้อยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงช้าๆ เบาๆ อีกครั้ง “ช่างเถิด ข้าไม่ถือสาเขาแล้ว หมูชิ้นนั่นไม่เท่าไหร่”

เหอะ เมื่อครู่เจ้ายังเถียงหน้าตายอยู่เลย

ไฉ่หงยังคงเดือดดาลใจกำลังจะอ้าปากโต้เถียงกลับหากแต่มีฝ่ามือหนึ่งกอบกุมไว้ดึงแขนนางเชิงว่าหยุดได้แล้ว นางได้แต่ปรายตาไปมองด้วยความครุนเคืองที่แท้ก็เป็นอาซานนี่เอง

“ขอบคุณแม่นางหลินที่ไม่ถือสาเอาความ”

ลู่หลินยิ้มกว้างหวังหง่านเสน่ห์สานต่อแม้เมื่อครู่หูจะให้ยิรว่าสตรีที่นางต่อปากต่อคำเป็นภรรยาอาซานแต่แล้วอย่างไรในเมื่อนางอยากจะได้ “อาซานเชิญไปชิมชาบ้านข้าก่อนหรือไหม พอดีบิดาข้าพึ่งได้ชาชั้นดีมาจากพ่อค้าหาบแร่เมื่อเช้าตรู่”

“ไว้คอยหลังเถิด ยามนี้ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ

นางถูกดึงแขนให้เดินตามหลังเขาที่เร่งเดินลิ่วๆ จากไปจากที่ตรงหนึ่ง “ช้าก่อน แล้วเด็กผู้นั้นเล่า”

“ไปแล้ว”

ไปไหน

“เหตุใดถึงทำตัววุ่นวายยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

“ข้าไม่ได้ทำตัววุ่นวายและไม่ได้หาเรื่องผู้ใดก่อน เด็กชทยผู้นั้นถูกรังแกมาข้าก็สมควรที่จะปกป้อง”

เส้นเลือดบนขมับอาซานเต้นตุบๆ จนปวด ไยนางเถียงคำต่อคำไม่เว้น

นี่ข้าแต่งภรรยาหรือรับเลี้ยงบุตรสาวกันแน่

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...