โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.1 แสนล้าน รัฐบาลอัดงบจ้างงาน 7 ล้านคน

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 18 มิ.ย. เวลา 17.52 น. • เผยแพร่ 19 มิ.ย. เวลา 00.45 น.

ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2568 รัฐบาลได้วางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณกลางปี 2568 วงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยให้แต่ละหน่วยงานจัดทำคำของบประมาณเพื่อเร่งอนุมัติและดันงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาส 3 ปี 2568

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 เพื่ออนุมัติโครงการล็อตแรกจากงบประมาณดังกล่าว

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจประเทศ โดยกระทรวงการคลังเสนอแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้งบประมาณกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงิน 157,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 นับเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแรง

ทั้งนี้แต่ละหน่วยงานทยอยเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณต่อสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง และผ่านการกลั่นกรองโครงการอย่างเข้มงวด โดยมีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ทำหน้าที่พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ ครม.เห็นชอบ

“การประชุมวันนี้ขอให้คณะกรรมการร่วมกันพิจารณาโครงการร่วมกันอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความรอบคอบและการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ เป้าหมายสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้และปราศจากการทุจริต”

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้มุ่งหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่าและผลสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คณะกรรมการฯ เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วงเงิน 110,000 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า เพื่อให้มีการเริ่มดำเนินโครงการและผูกพันงบประมาณภายในวันที่ 30 ก.ย.2568

“โครงการที่ผ่านการอนุมัติในวันนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป“

อนุมัติงบกระตุ้นล็อกแรก 1.1 แสนล้าน

นายพิชัย กล่าวว่า การกลั่นกรองโครงการเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีการประชุมร่วมกับแต่ละหน่วยงานอย่างละเอียด มีการกำหนดหลักเกณฑ์ 8 ข้อ สำหรับการพิจารณาโครงการงบกลางและกำหนดประเภทโครงการที่ไม่ควรดำเนินการ เพื่อให้เกิดการจ้างงานจากงบประมาณ 157,000 ล้านบาท คณะกรรมการได้กลั่นกรองและเห็นชอบเบื้องต้น 115,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 73.7% แยกเป็นโครงการน้ำ 39,136 ล้านบาท คิดเป็น 33.9% และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท คิดเป็น 39.8%

2.ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท คิดเป็น 8.7%

3.ด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท คิดเป็น 9.6%

4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ 9,201 ล้านบาท คิดเป็น 8%

อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.1 แสนล้าน รัฐบาลอัดงบจ้างงาน 7 ล้านคน

นายพิชัย กล่าวว่า โครงการส่วนใหญ่ที่ได้รับอนุมัติ 70% เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาด้านน้ำและคมนาคม เช่น น้ำเพื่อการบริโภค การป้องกันน้ำท่วม (ซ่อมแซม) และการสะสมน้ำเพื่อการเกษตร

ส่วนโครงการคมนาคมเน้นการปรับปรุงถนนเพื่อเชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงปรับปรุงเพื่อความปลอดภัยและซ่อมแซมถนนที่ชำรุด นอกจากนี้ มีโครงการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว 10% และมาตรการอื่น ๆ เช่น มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือการส่งออก และการศึกษา

สำหรับโครงการที่ผ่านการพิจารณาให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดและทุกอำเภอ โดยมีหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงรายได้ต่อหัวของประชากรในแต่ละจังหวัด จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำจะได้รับการจัดสรรเงินในสัดส่วนที่สูงกว่า ในขณะที่จังหวัดที่มีรายได้สูง เช่น กรุงเทพฯ และระยอง จะได้รับเงินในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับขนาดรายได้

ตั้งเป้ากระตุ้นจ้างงาน 6-7 ล้านคน

โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างงานได้ 6-7 ล้านคน เกิดการการกระจายการลงทุนทั่วประเทศ และมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.4%

“ทั้งนี้คาดว่าหากสามารถดำเนินโครงการได้เต็มวงเงิน 150,000 ล้านบาท จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 0.5-0.6% แต่หากใช้จ่ายที่ 1.1 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อ GDP ประมาณ 0.4-0.5% อย่างไรก็ตาม หลังจากหักผลกระทบจากมาตรการที่เคยดำเนินการไปแล้ว สุทธิแล้วคาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4%“

สำหรับงบประมาณส่วนนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2567 และจะพิจารณาแผนงานต่อเนื่องสำหรับปีงบประมาณ 2569-2571 เพื่อดึงดูดการลงทุนให้ได้ คาดการณ์ว่าเงินจากโครงการแต่ละโครงการจะเริ่มเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.และจะมีการผูกพันงบประมาณใน 30 ก.ย.2568

กันงบ 4 หมื่นล้านให้ อปท.-ชุมชน

ส่วนงบประมาณที่เหลืออยู่ราว 40,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาโครงการที่เสนอจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชน ซึ่งบางส่วนอาจซ้ำซ้อนหรือยังไม่ผ่านหลักเกณฑ์ โดยมีข้อเสนอราว 60,000 ล้านบาท จะถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อดูว่ามีโครงการใดที่ตกหล่นและสมควรที่จะมีการลงทุน

อย่างไรก็ตาม หากว่าจะไม่ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดก็ไม่เป็นไร โดยจะพิจารณาใช้เฉพาะโครงการที่มีความคุ้มค่า ส่วนงบประมาณที่เหลือก็ถือเป็นผลดีต่อรัฐบาลในการลดภาระหนี้

”นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกโครงการเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเคร่งครัดเจ้ากระทรวงต้นสังกัดที่มีหน่วยงานผู้ขอรับงบประมาณต้องกำกับดูแลใกล้ชิด และหากพบความผิดปกติหรือไม่ตรงวัตถุประสงค์ให้รายงานเพื่อพิจารณาไม่ใช้หรือระงับงบประมาณ“

นอกจากนี้ คณะกรรการฯมีมติให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อตรวจสอบและยืนยันความสำเร็จและดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และป้องกันการทุจริต

1.57 แสนล้าน ไม่พอดันเศรษฐกิจผงกหัว

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แม้ล่าสุดรัฐบาลจะเปลี่ยนจากงบประมาณในส่วน Digital Wallet มาเป็นโครงการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าด้วยเม็ดเงินประมาณ 1.57 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าไม่เพียงพอ ที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ส่วนนโยบายการเงินมองว่าอาจเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปีนี้ มาสู่ 1.25% และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งปีหน้า มาสู่ 1% ในสิ้นปี 2569 ทั้งนี้หากดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest rate) หักด้วยเงินเฟ้อในช่วง 1 ปี หรือย้อนหลัง 10-20 ปี พบดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยอยู่เพียง 0% แสดงว่าดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงยังมีช่องว่างให้ลดลงต่อเนื่องเพื่อประคองเศรษฐกิจ

เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค

ทั้งนี้ SCB EIC คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดน่ากังวลขึ้น โดยคาดปีนี้จีดีพีเติบโตเพียง 1.5% และปีหน้าลดเหลือ 1.4% ซึ่งการเติบโตระดับดังกล่าวค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยการเติบโตในอดีตของไทยสะท้อนภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอความเปราะบางชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้ แม้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงในไตรมาสแรกที่ 3.1% แต่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังเติบโตต่ำกว่า 1% หรือเข้าสู่ technical recession หรือภาวะถดถอยทางเทคนิค ที่เศรษฐกิจไทยติดลบสองไตรมาสติด หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส

กรณีร้ายแรงเศรษฐกิจไทยดิ่งเหลือ 0.8%

สำหรับผลกระทบหลักมาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทั่วโลก และความผันผวนสูงต่อตลาดการเงินโลก โดยภายใต้ซินาริโอของ EIC มองว่าหากการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐลุล่วง และไทยอาจถูกเก็บภาษีเพียง 10% เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัว 2% แต่กรณี Baseline ที่ภาษีนำเข้าอาจลดลงได้ครี่งหนึ่งที่ประกาศไว้ จีดีพีไทยอาจเติบโตได้เพียง 1.5%ปีนี้

และกรณีร้ายแรงที่สุด Worse การเจรจาสหรัฐล้มเหลว ถูกเก็บภาษีเต็มเพดาน บวกกับความขัดแข้งของตะวันออกกลางลุกลาม คาดกระทบต่อจีดีพีไทยเติบโตเหลือเพียง 0.8% ปีนี้

ทั้งนี้มองว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจาก “การท่องเที่ยวต่างชาติ” ที่ต่ำกว่าคาด โดย 5 เดือนแรกนักท่องเที่ยวหดตัว 3% ส่งผลให้ EIC ลดประมาณการณ์ท่องเที่ยวลงเหลือ 34.2ล้านคน ต่ำกว่าปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน สะท้อนว่าเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยเริ่มเจอปัญหา

ภาคธุรกิจชะลอลงทุน-ลดภาระหนี้สิน

นอกจากนี้ ภายใต้ความเสี่ยงสูงจากสงครามการค้า ยังส่งผลกระทบชัดเจนต่อการลงทุนในประเทศ โดยพบว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่ทั้งในต่างประเทศและธุรกิจขนาดใหญ่หลายรายในไทยมีแนวโน้มชะลอหรือเลื่อนการลงทุน โดยส่วนใหญ่พยายามลดภาระหนี้สินลงเพื่อใช้กลยุทธ์ wait and see รอดูความชัดเจน เหล่านี้สอดคล้องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงต่ำสุดรอบ 27 เดือน ดังนั้นคาดว่าภาคการลงทุนเอกชนปีนี้จะหดตัวถึง 2.2%

รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังเจอ “แผลเก่า” จากปัญหาหนี้ และความเปราะบางจากภาคแรงงานที่เป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันพบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ครัวเรือนและธุรกิจต่างระมัดระวังในการใช้จ่าย และไม่อยากก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่หนี้ครัวเรือนที่น่าห่วงแต่หนี้ธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีน่าห่วงขึ้น ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำรวจพบแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีจากหนี้นอกระบบสูงขึ้นมากจาก 13% เป็น 47% สะท้อนภาคการเงินในระบบไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพียงพอ ทำให้ครัวเรือนและธุรกิจหันไปพึ่งหนี้นอกระบบมากขึ้นอาจนำมาสู่ความเปราะบางทางการเงินในอนาคต

จับตาสถานการณ์แรงงานว่างงานพุ่ง

นอกจากนี้ซ้ำร้ายเศรษฐกิจยังเจอสัญญาณน่าห่วงจากอัตราว่างงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ล่าสุดอัตราการว่างงานโดยรวมของไทยยังอยู่ระดับต่ำที่ 0.9% โดยมีผู้ว่างงานไม่ถึง 1 คนจากทุก 100 คน แต่หากดูการว่างงานของกลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่ามีคนตกงาน 2 คนในทุก 100 คน และพบว่าคนรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มที่ 5.31% และยังพบว่า จำนวนผู้ว่างงานที่นานเกิน 6 เดือน ซึ่งกำลังเร่งตัวสูงขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้ว่างงานระยะยาว การหางานใหม่จะยากขึ้นเรื่อย

และหากดูจำนวนผู้มีงานทำโดยรวมของประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ไม่ดี โดยปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้มีงานทำลดลงถึง 2 แสนคน และไตรมาสแรกปีนี้ลดลงอีกกว่า 3 แสน ส่วนใหญ่เกิดจากการหดตัวของการจ้างงานในภาคเอกชน ในขณะที่ภาครัฐยังคงมีการจ้างงานอยู่ ดังนั้นอาจมีสัญญาณความกังวลว่าอาจมีการเลิกจ้าง เกิดขึ้นในอนาคต

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...